“สีหศักดิ์” เยือนอินเดีย สานความร่วมมือ ถกสถานการณ์ในเมียนมา พร้อมแจงเหตุไทย-กัมพูชา ให้ทราบ

“สีหศักดิ์” เยือนอินเดีย สานความร่วมมือหลายด้าน รวมถึงสถานการณ์ในเมียนมา เดินหน้าร่วมแก้ปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ พร้อมแจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้ทราบ ชี้กัมพูชาต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เตรียมเสนอที่ประชุมรัฐภาคีออตตาวา ตั้งกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริง-ลงพื้นที่จริง ป้องกันกัมพูชาบิดเบือนข้อมูล

นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการเดินทางเยือน สาธารณรัฐอินเดียในระหว่างวันที่ 30 พ.ย. - 1 ธ.ค. 2568 ว่าเป็นการเยือนที่มีความสำคัญ เพราะอินเดียเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญของไทย และ มีบทบาทที่สำคัญในเวทีภูมิภาค และระหว่างประเทศ การมาครั้งนี้ คุยกันหลายเรื่อง ทั้งการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน การค้า การลงทุน อินเดียยังมีศักยภาพด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมที่ไทย ต้องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในด้านนี้ ส่วนที่มีความสำคัญในภูมิภาค ไทยมีความเชื่อมโยงกับอินเดียหลายกรอบความร่วมมือ ที่จะชื่อระหว่างเอเชียตะวันออกเชียงใต้ กับ เอเชียใต้ ถือว่ามีความสำคัญ ไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ขับเคลื่อนกรอบความร่วมมือนี้กับอินเดีย

นอกจากนี้ ไทยกับอินเดีย ยังความความห่วงใยสถานการณ์ในภูมิภาคร่วมกัน โดยเฉพาะสถานการณ์ในเมียนมา ซึ่งมีความเห็นตรงกันที่ต้องการเห็นสันติภาพให้เกิดขึ้นในประเทศเมียนมา ซึ่งช่วงนี้ กำลังจะมีการเลือกตั้งในเมียนมา จึงจะใช้โอกาสนี้ แลกเปลี่ยนความเห็นกับอินเดีย ว่า มองสถานการณ์ในเมียนมาอย่างไร ในแง่การทูต ไทยกับเมียนมาจะร่วมมือกันอย่างไรบ้าง นอกจากเหนือจากการดำเนินการของอาเซียน ซึ่งไทย กับอินเดีย ก็มีชายแดนติดกันเมียนมาเช่นเดียวกัน จะมีการประสานท่าที และ การทำงานร่วมกันอย่างไร

สำหรับบทบาทที่สำคัญในระดับโลกของอินเดีย ต่างเป็นห่วงเรื่องสถานการณ์โลกในขณะนี้ ทั้งความผันแปรระเบียนโลกที่เคยยึดมั่น หรือกติกาต่าง ๆ ถูกบั่นทอนไปโดยเฉพาะเรื่องการค้า ก็ต้องมีการหารือกันว่าจะร่วมกันรักษา กติกา ระหว่างประเทศได้อย่างไรบ้าง เพราะถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ต่อทุกประเทศ ที่ต้องธรรมรงค์ ไว้ซึ่งกติกาในการดำเนินความสำคัญระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ ยังจะมีการหารือกับอินเดียเรื่องการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมการไซเบอร์ ที่ถือเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญในการเดินทางมาอินเดียครั้งนี้ เพราะคนอินเดีย ถูกหลอกลวง เข้าไปอยู่ในขบวนการเหล่านี้ด้วย เห็นได้จากกรณีที่มีคนอินเดียหลบหนี ออกจากเมียนมาเข้ามายังประเทศไทย จำนวนมาก อินเดียเองมีความห่วงใยเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง

ขณะเดียวกัน ประเทศไทยกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมหุ้นส่วนระดับโลก เพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต (International Conference on Global Partnership against Online Scams) ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดขึันที่กรุงเทพฯ ระหว่าง 17 - 18 ธันวาคม 2568 ก็จะใช้โอกาสนี้ เชิญอินเดียเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ด้วย พร้อมทั้งขอความเห็นว่าในระดับภูมิภาค และ ระหว่างประเทศ จะร่วมมือกันอย่างไร ให้การแก้ไขปัญหานี้มีประสิทธิผลมากขึ้น

ทั้งนี้ นายสีหศักดิ์ กล่าวอีกว่า จะใช้โอกาสนี้ ในการชี้แจงทำความเข้าใจถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้อินเดียได้ทราบด้วย โดยทางอินเดียก็ติดตามสถานการณ์อยู่ตลอด ซึ่งจะได้ชี้แจงก็ความคืบหน้าของสถานการณ์ ว่าตอนนี้ เป็นอย่างไร เกิดอะไรขึ้นบ้าง เหตุใดไทยจึงจำเป็นต้องระงับการดำเนินการตามข้อตกลงที่ลงนามร่วมกันที่ประเทศมาเลเซีย นั้นเพราะมีการเหยียบทุ่นระเบิดเกิดขึ้นอน่างอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาอย่างมาก โดยเฉพาะล่าสุด มีชาวจีนที่ลักลอบเข้าเมืองผ่านช่องทางธรรมชาติก็เหยียบทุ่นระเบิดได้รับบาดเจ็บสาหัส

นายสีหศักดิ์กล่าวย้ำว่า มีความเป็นห่วงต่อเหตุการณ์ณ์ที่เกิดขึ้น อยากให้ฝ่ายกัมพูชา ร่วมมือกับไทย ในเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปักปันเขตแดนในส่วนที่มีการรุกล้ำกัน หากเดินหน้าได้ ก็อยากให้ทุกอย่างกลับไปสู่การปฏิบัติตามข้อตกลง

ส่วนในวงหารือทวิภาคีต่างๆ ต้องรอให้ทางกัมพูชาแสดงความพร้อมในการแสดงความรับผิดชอบกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อน โดยหลังจากนี้ ตนเองก็จะเกินทางไปร่วมประชุม รัฐภาคีว่าด้วยอนุสัญญาออตตาวา ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เบื้องต้น ไทยได้รายงานเหตุการณ์ที่ฝ่ายไทยเหยียบทุ่นระเบิดไปแล้ว การเดินทางไปครั้งนี้ ก็จะไปให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับเหตุการณ์ล่าสุด ซึ่งยังไม่เพียงพอ เพราะหลังจากที่ไทย ได้รายงานไปแล้ว การชี้แจงของกัมพูชา ยังมีการหลบหลีกในการตอบคำถาม ที่ไทยสอบถามไป ดังนั้น ไทยจะมีการเสนอให้ตั้งคณะตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่มีความเป็นอิสระ เพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพื่อป้องกันกัมพูชาหลบเลี่ยงในการชี้แจงข้อเท็จจริง เป็นไปด้วยความโปร่งใส องค์ประกอบของคณะกรรมการจะมีใครบ้างก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของที่ประชุมรัฐภาคี ส่วนจะมีผู้แทนจากประเทศญี่ปุ่นในฐานะประธานอนุสัญญาออตตาวา ร่วมเป็นกรรมการหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของที่ประชุม ว่าจะมีความเห็นอย่างไร