เลือกตั้งและการเมือง
“อนุทิน” ลั่นพร้อมยุบสภาฯ 12 ธ.ค.นี้ ชี้รัฐบาลไปต่อไม่ได้ ถ้าอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลก็แพ้
20 พ.ย. 2568
89 views
“อนุทิน” ท้าฝ่ายค้านหากรอไม่ไหวยื่นซักฟอก พร้อมยุบสภาฯ 12 ธ.ค.ทันที ชี้รัฐบาลไปต่อไม่ได้ ถ้าอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลก็แพ้
วันที่ 20 พ.ย.2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมนา “PRACHACHAT OUTLOOK THAILAND 2026 : ปรับ-เปลี่ยน-ไปต่อ”
โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้เศรษฐกิจของเรากำลังเดินไปข้างหน้า ในเรื่องการค้าการลงทุนกำลังเผชิญ ปัญหาด้าน ขีดความสามารถ รวมถึงโครงสร้างประชากรที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ ซึ่งเราก็ต้องปรับเรื่องการเกษียณอายุราชการ ที่ต้องทำเป็นขั้นบันได ให้เข้ารูปเข้ารอยไม่ต้องไปกังวล
โดยรัฐบาลนี้มีเวลาแค่ 4 เดือนก็ต้องรู้ว่าตรงไหนที่สามารถเปลี่ยนได้และมีมติได้ภายใน 4 เดือนก็ต้องทำ เรามีรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายที่รู้เรื่องกฎหมายเป็นอย่างดี หากอยู่ 4 เดือนก็สามารถทำได้แต่หากอยู่ไม่ถึงก็ทิ้งเอาไว้ให้คนอื่นทำต่อได้โดยไม่สงวนลิขสิทธิ์ใดๆ
อย่างเรื่อง คนละครึ่งพลัส ที่คนวิจารณ์ว่าเป็นนโยบายสมัยลุงตู่ ตนก็ถามว่าทำไม เพราะลุงตู่ก็นายผม เมื่อทำมาแล้ว ก็ทำต่อ ตนไปลอกข้อสอบ และใส่คำว่าพลัสเข้าไป พร้อมระบุว่า ตั้งแต่เข้ามาการเมืองโดนด่าหมด ยกเว้นคนละครึ่งพลัส เดินไปไหนคนชมหมด ดังนั้นเราต้องเป็นคนหัวแข็งต้องยืดหยุ่น อะไรที่คิดแล้วเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมก็ต้องทำไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ด้านเศรษฐกิจของไทยก็ต้องเดินหน้า ซึ่งตอนนี้มีความพร้อมแล้ว ทั้งด้านทรัพยากรพร้อม กฎระเบียบก็พร้อม และหากอยากให้พร้อมก็เลือกตนกลับมา เพราะตอนนี้ก็ปฏิรูปการศึกษาอยู่ปฏิรูปพลังงาน ให้คนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ในส่วนของพลังงาน ถึงแม้ว่าจะทำไม่ได้ทั้งหมดแต่ทุกอย่างในเวลาจำกัดเราก็ปูทางเอาไว้ดังนั้นขอให้ประชาชนตัดสินใจเอาเองว่าคนไหนที่มีความตั้งใจที่จะทำสิ่งเหล่านี้และมีความกล้าหาญมากเพียงพอที่จะทำสิ่งเหล่านี้”
รัฐบาลนี้พูดคำว่า upskill และ reskill ตลอด เพื่อให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กขนาดย่อยและทุกระดับมีการยกระดับตัวเองและสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น และเศรษฐกิจเหล่านี้ก็จะเป็นโอกาสของ เพราะประเทศที่สามารถชนะในยุค ai ได้คือประเทศที่คนทางสังคมเรียนรู้และปรับตัวได้มากที่สุดซึ่งคือเป้าหมายในการสังคมของรัฐรัฐบาลชุดนี้
อย่างไรก็ตามในขณะที่กำลังรับมือกับการพัฒนาใหม่ใหม่ในเรื่องของการเพิ่มทักษะ ใหม่ใหม่ก็คือเรื่องการสร้างสังคมเพราะคนเกิดน้อยลงประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มตัวแล้วเพราะฉะนั้นจะต้องทำ 3 เรื่องสำคัญคือ 1.การขยายอายุเกษียณราชการให้สอดคล้องกับความสามารถ
2.การพัฒนาระบบสาธารณสุขที่สามารถรองรับการดูแลทั้งระยะยาวและผู้สูงอายุผู้ป่วยเรื้อรังและบริการเชิงป้องกัน ซึ่งการปรับตัวอย่างรุนแรงของระบบสาธารณสุขหากไม่ทำตายแน่นอนเพราะคนไม่ตายระบบจะตาย เพราะยาก็ดีค่ารักษาก็น้อยรวมไปถึงค่ารักษาฟรีเพราะฉะนั้นคุณไม่ตาย หากโรงพยาบาลเต็มก็เอาอยู่ที่บ้านและให้การดูแลอย่างเต็มที่เพราะฉะนั้นจึงมีความสุขอย่างมากในเรื่องการยืดอายุคน เพราะ 60 ปีเกษียณไม่ได้ ต้องทำให้ติดเตียงใกล้อายุ 80 ต้องยังทำมาหากินได้ ไม่ไม่เป็นภาระให้คนรุ่นหลัง จึงต้องทำให้เขาไม่ป่วยด้วยระบบสาธารณสุข ขอให้รู้ว่าถ้าป่วยถือรักษาได้
และสุดท้ายคือการยกระดับ ทักษะแรงงานสูงวัยวัย ซึ่งตนมองว่ามีโอกาสที่จะสามารถสร้างธุรกิจในการดูแลผู้สูงอายุของไทยและผู้สูงอายุที่มาจากต่างชาติ
“ส่วนเรื่องการเมือง ไม่ต้องไปฟัง เพราะไม่นานตนก็ยุบสภาแล้วจะคืนอำนาจให้กับประชาชน ตอนนี้ตัวเลือกไม่เยอะ ขอให้ดูว่าพรรคไหนที่มีการเมืองที่ดีแล้วต้องมีการปฏิบัติที่ดีด้วย และต้องดูด้วยว่ามีความรู้มากพอที่จะปฏิบัติและความกล้าพอที่จะทำหรือไม่มีความเก่งพอ และบารมีที่จะแสวงหาความร่วมมือหรือไม่ ซึ่งตนคิดว่าตนมีพอสมควร และเรื่องเหล่านี้ทุกคนต้องช่วยกัน
เพราะปีหน้าอย่างไรก็ต้องเลือกตั้ง เพราะสภาพการเมืองที่ดำรงมาจนถึงจุดนี้ต้องยอมรับตรงตรงว่าไปต่อไม่ได้ เพราะรัฐบาลเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ไม่ต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจเพราะอภิปรายไปก็แพ้ และตนก็บอกแล้วว่า 31 มกราคมจะยุบสภา แต่ถ้ารอถึง 31 มกราคมไม่ไหว จะให้ยุบวันที่ 12 ธันวาคม ตนก็พร้อมยุบ แต่หากมีอะไรที่ทำไว้แล้วไม่เสร็จหลายอย่างก็ต้องไปเบลม (ตำหนิ) คนนั้น มาว่าตนไม่ได้ ซึ่งตนมองว่าต่อให้อภิปรายดีหรืออภิปรายห่วยหรือตอบโต้ดีแค่ไหนรัฐบาลก็แพ้เพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย เพราะไม่มีทางวินวิน วันนี้ตนไม่ได้ให้วินวินกับทางการเมือง แต่อยากให้วินวินกับประชาชน
เพราะตนก็เชื่อว่าพรรคของตนมีนโยบายดีๆ ที่จะไปว่ากันในสนามเลือกตั้ง ของใกล้ชิดกับการเมืองและใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจเพราะปีหน้าเป็นปีที่สำคัญหากตัดสินใจถูกประเทศไทยก็ก้าวกระโดด เร็วและรุนแรงเพราะตอนนี้เรากลับเข้ามาสู่เรด้าได้แล้ว ทุกประเทศให้ความสำคัญและให้ความสนใจ ขณะรู้ว่านายกคนนี้รู้แค่สี่เดือนยังให้เวลาพบ แต่เขาเชื่อว่าสิ่งที่เราทำไว้ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแต่ทำเพื่อหวังรักฐาน ว่าไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาต้องยกรากฐานตัวนี้แล้วนำไปทำต่อเพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคงแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเมืองจะปากดีปากเสียอย่างไรตนเชื่อว่าส่วนลึกๆ ของทุกคนก็ต้องการทำประโยชน์ให้กับประเทศและพี่น้องประชาชนดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนยังต้องเคารพซึ่งกันและกันอยู่”
ในช่วงท้ายนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าคำว่าปรับเปลี่ยนและไปต่อเป็นสัจธรรมที่เกิดขึ้นกับคนทุกคนโดยเฉพาะคนที่มีหน้าที่ในการบริหารบ้านเมือง
แท็กที่เกี่ยวข้อง อนุทิน ชาญวีรกูล ,นายกรัฐมนตรี ,ยุบสภาฯ