เลือกตั้งและการเมือง

“บิ๊กโจ๊ก” ของขึ้น! ชี้หน้าโต้เดือด อดีตคณบดีนิติฯ จุฬาฯ ยันไม่เคยโกงข้อสอบ

3 ชั่วโมงที่แล้ว

1.3K views

“บิ๊กโจ๊ก” ของขึ้น ชี้หน้าโต้เดือด อดีตคณบดีนิติศาสตร์ จุฬาฯ ยันไม่เคยโกงข้อสอบ ซัดมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับการตั้งคณะกรรมการสอบสวน เชื่อจงใจกลั่นแกล้ง

คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาศึกษาปัญหาและแนวทางการปฏิรูประบบราชการตำรวจในด้านการบริหารงานบุคคลและการดำเนินการทางวินัยของข้าราชการตำรวจ กรณีศึกษา พลตำรวจเอก กิตติรัฐ พันธุ์เพ็ชร์ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทุจริตข้อขอบของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยพลตำรวจเอก สุรเชษฐ์

และตัวแทนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกอบด้วย ศาสตราจารย์ทัชมัย ฤกษะสุต ประธานสภาคณาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้ช่วยศาสตราจารย์ปารีณา ศรีวนิชย์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาชี้แจงต่อกรรมาธิการ ซึ่งใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง

ในการชี้แจงบางช่วง พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ กล่าวหาว่า ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปารีณา ศรีวนิชย์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบมีผลประโยชน์ทับซ้อน และไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนว่าตนเองคือคนโกงสอบ โดยยอมรับว่าได้ซองเอกสารจากลูกน้องที่ตกเป็นผู้ต้องหา แต่ไม่ทราบว่าในซองเอกสารดังกล่าวคืออะไร จึงมองว่าการตั้งคณะกรรมการสอบสวนดังกล่าวเป็นไปโดยไม่ชอบ อีกทั้งยังมองว่าอดีตคณบดีมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับการตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีการสอบของตนเอง เพราะมีสามีเป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ซึ่งได้รับการแต่งตั้งในสมัยของพลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น โดยมองว่าพลตำรวจเอกจักรทิพย์เป็นคู่กรณีของตนเองและเชื่อว่า อดีตคณบดีอาจจงใจกลั่นแกล้งเพราะมีผลประโยชน์ทับซ้อนในเรื่องนี้

ด้านอดีตคณบดีนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโต้กับเรื่องนี้ทันทีว่า การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเรื่องการโกงข้อสอบเป็นไปโดยถูกต้องตามกระบวนการ และไม่ได้กลั่นแกล้งบุคคลใด ที่ผ่านมาตนเองยังได้อำนวยความสะดวกให้กับพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการนำรถเข้ามาจอดภายในคณะโดยปกติแล้วไม่มีนิสิตคนใดสามารถนำรถเข้ามาจอดได้ รวมถึงการเลื่อนสอบในกรณีต่างๆ จนตนเองถูกครหานินทาจากนิสิตและอาจารย์คนอื่นๆ ด้วยซ้ำ ส่วนกรณีที่พาดพิงไปถึงว่าตนเองเป็นภรรยาของอดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ในสมัยของพลตำรวจเอกจักรทิพย์ ก็ยืนยันว่าสามีของตนเองสังกัดกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 มาตั้งแต่ยศนายร้อย จนขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ได้เพราะเหลืออายุราชการเพียง 1 ปี ซึ่งเป็นไปตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นอกจากนี้ยังขอเอาเกียรติภูมิของความเป็นอาจารย์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาเป็นประกัน หากตนเองตั้งใจจากกลั่นแกล้งคงไม่เชิญบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ด้วย เพราะตนเองยึดหลักนิติศาสตร์ คือการหาความจริงให้ได้ ส่วนการแจ้งความเอาผิดที่ใช้เวลานานเพราะทางคณะไม่ทราบมาก่อนจนกระทั่งมีข่าวออกมาจึงต้องแจ้งความหากปล่อยนิ่งเฉยไว้ก็อาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงท้ายของการชี้แจงพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ถึงกับขึ้นเสียงและชี้นิ้วไปทางอาจารย์จุฬาฯ ระหว่างตั้งคำถามกับผู้ช่วยศาสตราจารย์ปารีณา ว่า ที่บอกว่าสามีของผู้ช่วยศาสตราจารย์ปารีณา ไม่ได้ถูกแต่งตั้งโดยพลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร.นั้น ไม่เป็นความจริง เพราะสามีท่าน 33% ขึ้นโดยลำดับอาวุโส ซึ่งตำรวจรู้กัน ว่าต้องขึ้นผู้บัญชาการประจำ แต่สามีท่านขึ้นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค4 ถ้าไม่ใช่คนของ ผบ.ตร. ไม่มีทางขึ้นผู้บัญชาการหลักได้ ตำรวจรู้ดีท่านอย่าบิดเบือนข้อเท็จจริง

และอยากฝากถึงอาจารย์จุฬาฯ ว่าต่อให้ตนได้ข้อสอบมาและต่อให้ตนเปิดอ่าน ถ้าเป็นข้อสอบที่สอบไปแล้วก็คือข้อสอบเก่าใช้ไม่ได้ ขอให้อาจารย์ให้ความเป็นธรรม และมองว่าอาจารยังไม่ควรที่จะมาในวันนี้ เพราะถือว่าเป็นเหยื่อที่ถูกใครให้มาก็ไม่รู้ พร้อมย้ำว่าต่อให้ตนได้ข้อสอบวันนี้แล้วเปิดอ่านและลอกมาเลยข้อสอบนั้นก็ใช้ไม่ได้เขาเรียกว่าแนวข้อสอบ ซึ่งข้อเท็จจริงก็ไม่ใช่ความจริง

นางสาวทัชก็ไม่ได้ให้ข้อสอบกับด็อกเตอร์นิต ซึ่งตนเองก็ไปที่จุฬาในวันนั้นแต่นางสาวทัชให้ข้อสอบกับตำรวจชั้นประทวน ซึ่งต้องแจ้งข้อหากับตำรวจชั้นประทวนซึ่งเป็นลูกน้องตนแต่สุดท้ายก็ไม่ได้แจ้งความ ตนอยากจะถามว่าอาจารย์ในฐานะเป็นนักกฎหมายเหตุใดจึงฟังความข้างเดียวเหตุใดจึงไม่สอบถามให้รอบด้าน

ก่อนที่นายปิยรัฐ จงเทพ รองประธานกรรมาธิการ ซึ่งทำหน้าที่ประธาน แทนนายรังสิมันต์ โรม ที่ลุกไปเข้าห้องน้ำ ได้เตือนพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ขอให้ใจเย็นๆ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ จึงกล่าวทิ้งท้ายว่า “ของขึ้นครับ”

ด้านศาสตราจารย์ทัชมัย ชี้แจงว่าเราไม่ได้เป็นเหยื่อแต่อธิการบดีสั่งการให้มาชี้แจงต่อกรรมาธิการ

ทำให้พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์พยายามที่จะตอบโต้อีกครั้ง นายปิยรัฐก็ได้ปรามอีกครั้งขอให้ใจเย็นๆ ก่อนที่ศาสตราจารย์ทัชมัย จะชี้แจงต่อว่า พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์พูดเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เรื่องแนวข้อสอบ และหากใครอยากได้แนวข้อสอบก็มีอยู่ในเว็บไซต์ เพราะแนววิชาการก็จะออกอยู่ในประเด็นเดิม ซึ่งสิ่งที่คนที่เป็นบัณฑิตควรจะต้องรู้ ข้อสอบอาจจะออกใหม่ แต่ประเด็นจะซ้ำเดิมซึ่งเป็นแกนของวิชานั้นนั้นเพราะฉะนั้นการมีแนวข้อสอบไม่ใช่เรื่องผิดปกติ

ส่วนในซองนั้นเป็นข้อสอบหรือไม่เราก็ยังไม่เชื่อแต่เรารู้ว่ามันสำคัญไม่เช่นนั้นจะไม่มีการทักท้วงกัน และสิ่งที่กรรมการพิจารณาไม่ใช่พิจารณาเฉพาะจากคำพูดของพยานแต่พิจารณาจากหลักฐานอะไรที่ไม่มีเอกสารหลักฐานเราก็ไม่ตัดสิน

และก่อนจะปิดการประชุม พลตำรวจตรีศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 หรือตำรวจไซเบอร์ 1 หนึ่งในหน่วยงานที่กรรมาธิการเชิญมาชี้แจง ก็ได้เดินทางมาจากทำเนียบรัฐบาลหลังการแถลงข่าว MOU ปราบสแกมเมอร์ รวมกับนายกรัฐมนตรี เพื่อชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ ในประเด็นเกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าว โดยชี้แจงว่าตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือตำรวจไซเบอร์ ให้อำนาจหน้าที่ในการสืบสวนคดีในลักษณะดังกล่าว อีกทั้งการสืบสวนในคดีนี้เป็นการขยายผลจากอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในคดีเว็บพนันออนไลน์ของมินนี่ ซึ่งมีพยานหลักฐานเป็นจำนวนมากโดยต่อมาพบข้อมูลการพูดคุยสนทนาในเชิงลักษณะการนำข้อสอบออกจากห้องสอบเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายอาญาจึงเข้าข่ายขอบเขตอำนาจที่สามารถดำเนินการได้ อีกครั้งยังยืนยันว่าพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ไม่ได้เป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวเนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานไปถึง อีกทั้งในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนและการออกทีวีหลายครั้งก็ยืนยันว่าพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ไม่ใช่ผู้ต้องหาและให้เกียรติมาโดยตลอด ส่วนเรื่องคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นอำนาจหน้าที่ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ดำเนินการตนเองไม่ทราบในส่วนนี้ ส่วนคดีที่เกี่ยวข้องกับการโกงข้อสอบขณะนี้ทราบว่าอัยการได้ส่งสำนวนกลับมาให้ตรวจสอบเพิ่มเติมใน 5 ประเด็นซึ่งขณะนี้ทราบว่าตำรวจเจ้าของคดีอยู่ระหว่างการดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามประเด็นที่อัยการส่งสำนวนกลับมา

ภายหลังชี้แจ้งต่อกรรมาธิการ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ให้สัมภาษณ์ ยืนยันซ้ำว่า ตนไม่ได้โกงข้อสอบและไม่ได้มีพยานหลักฐานใด ๆ มาถึงตนด้วย ถึงแม้ผู้ดูแลข้อสอบของจุฬาฯ จะมีการนำเอกสารมาให้กับตำรวจชั้นประทวนนายหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกน้องของตน เเต่ข้อสอบดังกล่าวตนไม่เคยได้รับ เเละไม่เคยถูกเปิดด้วยซ้ำ อีกทั้ง การตั้งคณะกรรมการวินัยนั้น จะต้องดำเนินการก็ต่อเมื่อกระทำความผิดหรือถูกกล่าวหาในคดีอาญา แต่กรณีนี้ตนยังไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องหา และไม่ได้ถูกดำเนินคดีในคดีอาญา แต่กลับถูกตั้งคณะกรรมการวินัย มองว่าไม่เป็นธรรมกับตน เป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ


คุณอาจสนใจ

Related News