เลือกตั้งและการเมือง

“ไชยชนก” โต้ฝ่ายค้าน ยันทำงานทุกวันปราบแก๊งคอล ลั่นพร้อมจัดการนักการเมืองเอี่ยวสแกมเมอร์

31 ต.ค. 2568

71 views

ถกเครียดแก้ปัญหาซิมบ็อกซ์ “ไชยชนก” โต้ฝ่ายค้าน ยันทำงานทุกวันปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ วอนมีข้อมูลนักการเมืองเอี่ยวสแกมเมอร์ ให้นำมามอบให้โดยตรง พร้อมจัดการให้ทันที ไม่กระทบรัฐบาล

วันนี้ (31 ต.ค.2568) ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือ DE ได้จัดการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 7/2568 โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุมที่สำคัญ ได้แก่ นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายพชร อนันตศิลป์ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือตำรวจไซเบอร์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งตำรววจ กสทช. ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินหรือ ปปง. กรมศุลกากร รวมทั้งภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินและโทรคมนาคมทั้งหมด

โดยนายไชยชนกสรุปประเด็นสำคัญของประชุมในวันนี้ว่า ประเด็นเรื่องเครื่อง Simbox ขณะนี้ได้ประสานข้อมูลจากทางกรมศุลกากร เพื่อให้นำข้อมูลการนำเข้าเครื่อง Simbox ทั้งแบบเครื่องสมบูรณ์และเครื่องแยกส่วนประกอบ มาส่งที่ทางคณะกรรมการฯ เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวให้ทางตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดตามการใช้งานอุปกรณ์ Simbox เหล่านี้ว่านำไปใช้ผิดกฎหมายหรือไม่

ขณะเดียวกัน ได้เตรียมที่จะออกประกาศกฎกระทรวงในเรื่องการนำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์ Simbox ทั้งแบบสมบูรณ์และแยกชิ้นส่วน โดยการนำเข้าหรือจัดจำหน่ายต้องขออนุญาตจากหน่วยงานราชการเท่านั้น ห้ามจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาด

นอกจากนี้ ยังได้พูดคุยหารือกับบรรดาค่ายโทรศัพท์มือถือและสถาบันการเงิน ร่วมกับทาง กสทช. เพื่อทบทวนมาตรการยืนยันตัวตนลงทะเบียนซิมโทรศัพท์มือถือ ผ่านระบบ Liveness Detection ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีสำหรับการยืนยันตัวตนลงทะเบียนซิมผ่านการสแกนม่านตา ซึ่งจะสามารถป้องกันการสวมรอยซิมได้และมาตรการดังกล่าวเป็นการอุดรอยรั่วของระบบลงทะเบียนซิมแบบเดิม ที่ทำให้บุคคลมีปริมาณซิมจำนวนมาก อีกทั้งยังสกัดการจ่ายสัญญาณไปยัง Simbox ด้วย

รวมถึงยังได้ประสานงานกับตู้ขายโทรศัพท์มือถือตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศกว่า 60,000 แห่ง ว่าให้ระงับการลงทะเบียนหน้าตู้และให้ลูกค้านำซิมไปลงทะเบียนกับศูนย์บริการของแต่ละค่าย โดยตู้ขายโทรศัพท์มือถือยังสามารถขายซิมได้ตามปกติ เพียงแต่ต้องนำข้อมูลไปแจ้งทางตำรวจว่า ได้ขายซิมให้ใครบ้างและขายในพื้นที่ใด เพื่อสะดวกต่อการติดตามเจ้าของซิม

อย่างไรก็ตาม การประชุมในวันนี้แม้จะใช้ระยะเวลาการประชุมนานกว่า 3 ชั่วโมง แต่ยังมีปัญหาจำนวนมากที่ยังไม่ได้นำมาพูดคุยในหลายประเด็น เช่น เรื่อง Platform ออนไลน์ที่ถูกใช้ในกระบวนการสแกมเมอร์ และเรื่องการลงทะเบียนซิมแบบนิติบุคคล ที่เบื้องต้นได้มอบหมายให้ กสทช. และค่ายมือถือไปหาวิธีการแก้ไขปัญหานำมาเสนอในสัปดาห์หน้า

สำหรับบรรยากาศการประชุมนั้น นายไชยชนกกล่าวว่าเป็นไปอย่างดุเดือดและไม่ได้มีรอยยิ้มให้กัน ทุกฝ่ายต่างแสดงความคิดเห็นอย่างหนักแน่นและกล่าวถึงปัญหาการทำงานของแต่ละหน่วยงานที่เป็นอุปสรรคในการทำงาน แต่สุดท้ายทุกฝ่ายก็สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ เพราะมีเจตนาที่จะแก้ไขปัญหาร่วมกัน คิดว่าภายใน 1 สัปดาห์จะประชุมครั้งเดียวไม่น่าเพียงพอ คงต้องเพิ่มจำนวนการประชุมแต่ละสัปดาห์ให้มากขึ้น เพื่อติดตามการทำงานและหาวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง

ด้าน พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า แม้ว่าตอนนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีมาตรการเชิงรุกที่สามารถจับกุมและระดมกวาดล้างคดีการสแกมเมอร์ได้หลายราย โดยที่ผ่านมาเคยรับปากว่าจะลดตัวเลขการแจ้งความออนไลน์ จากวันละ 1,000 เคสต่อวัน ให้ลดลงภายใน 6 เดือนนั้น ล่าสุดจากการสังเกตตัวเลขในรอบหลายวันที่ผ่านมา พบว่า ตัวเลขลดลงเป็นบางวัน แต่ยังไม่สม่ำเสมอ จึงเตรียมที่จะเร่งเครื่องการปราบปรามให้มากขึ้น

ทั้งนี้ จากตัวเลขการแจ้งความ พบว่าเป็นการหลอกลวง ผ่านทางแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ประมาณ 600 เคส ต่อวัน หรือประมาณ 50% ของการแจ้งความทั้งหมด นอกนั้นมีการหลอกลวงผ่าน SMS และโทรศัพท์มือถือ อีก 100 กว่าเคส

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามกรณีที่เมื่อวานนี้ พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พูดในที่ประชุมคณะกรรมาธิการตำรวจสภาผู้แทนราษฎร บอกว่า ที่ผ่านมาตำรวจไม่ได้รับความร่วมมือจากธนาคารและ กสทช. ในการปราบสแกมเมอร์ เหมือนเป็นการผลักภาระให้ตำรวจหน่วยงานเดียว

นายไชยชนกกล่าวว่า ตนไม่มองในเรื่องอดีต ตนมองในเรื่องของปัจจุบันเป็นหลัก ที่ผ่านมาในอดีตเป็นอย่างไรตนไม่ทราบ แต่ ณ วันนี้ ทุกหน่วยงานได้พูดคุยและมีเจตนาร่วมกันที่จะหาทางออก รวมทั้งต่างเสนอแนวทางที่น่าสนใจเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาและนำข้อมูลมาบูรณาการทำงานเชิงรุกร่วมกัน ทุกภาคส่วนต้องช่วยเหลือกันไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน ยอมรับว่าแม้แต่การประชุมในวันนี้ ก็มีบางช่วงที่ไม่ได้มีรอยยิ้มให้กัน แต่สุดท้ายก็หาข้อสรุปร่วมกันได้ ส่วนที่บอกว่าหน่วยงานไหนให้ความร่วมมือหรือไม่ให้ความร่วมมือนั้น ขอให้ดูที่ผลงานเป็นหลัก

ส่วนการแสดงความคิดเห็นของรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินั้น พล.ต.ท.จิรภพ มองว่า เป็นปกติที่ทุกคนย่อมมีความเห็นที่ไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนก็มองเห็นปัญหาและอยากจะให้ทุกหน่วยงานต่างร่วมมือร่วมใจกันที่จะแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ให้หมดไป

ส่วนประเด็นที่เมื่อวานนี้ ฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรเปิดญัตติเร่งด่วนเพื่ออภิปรายในเรื่องการแก้ปัญหาสแกมเมอร์ โดยความบางช่วงได้โจมตีรัฐบาลว่า “ไม่มีความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหา” ประเด็นนี้นายไชยชนกกล่าวว่า ข้าราชการในสังกัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานเรื่องนี้อย่างแข็งขัน ตนคงจะพูดแทนข้าราชการได้ไม่หมด แต่ถ้าเป็นหน่วยงานของตนนั้น ทุกคนพูดคุยและทำงานกันทุกวัน ทั้งในและนอกเวลาราชการ เราใช้ทุกอำนาจตามกฎหมายในการทำงานเรื่องนี้อย่างเต็มที่

ขณะที่ประเด็นของฝ่ายค้านโจมตีว่า มีนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์ นายไชยชนกเรียกร้องว่า ใครที่มีข้อมูลมาให้นำข้อมูลมาให้ตน ตนสัญญาว่าจะเร่งดำเนินการตรวจสอบและเอาผิดถ้ามีพยานหลักฐาน ยืนยันว่า การดำเนินการดังกล่าวไม่ทำให้รัฐบาลมีปัญหาและไม่กระทบกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วย

ผู้สื่อข่าวสอบถามประเด็นที่ก่อนหน้านี้ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำชื่อนักการเมืองมายื่นให้นายไชยชนกเพื่อเอาไปตรวจสอบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์หรือไม่นั้น นายไชยชนกกล่าวว่า วันนี้ได้รวบรวมข้อมูลส่งให้หน่วยงานในกระทรวง DE เองและให้ทางตำรวจดำเนินการตรวจสอบควบคู่กันไป แม้ว่าตอนนี้จะมีการเปิดชื่อนักการเมืองมากกว่า 7 คนแล้วก็ตาม ก็ขอให้นำข้อมูลเหล่านี้มาเปิด และข้อมูลมาส่งให้ตนเองโดยตรง เพื่อนำไปสู่การตรวจสอบและเอาผิดต่อไป

แท็กที่เกี่ยวข้อง  ไชยชนก ชิดชอบ ,ปัญหาสแกมเมอร์

คุณอาจสนใจ

Related News