เลือกตั้งและการเมือง
นายกฯ หารือ ภาคธุรกิจสหรัฐฯ ชมโครงการ "คนละครึ่งพลัส" ส่งเสริม digital payment
10 ชั่วโมงที่แล้ว
51 views
วันนี้ (พฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2568) เวลา 10.10 น. (ตามเวลาท้องถิ่นเมืองคยองจู ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 2 ชั่วโมง) ณ Salon Heritage เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หารือกับผู้แทนกลุ่มนักธุรกิจสหรัฐฯ สมาชิกองค์กร US - APEC Business Coalition พร้อมผู้เข้าร่วมจากภาคเอกชนสหรัฐฯ หลากหลายบริษัท อาทิ Amazon, Boeing, Citi, Coupang, Johnson & Johnson, Mastercard, Merck, Moody’s, Paypal และ Organon เป็นต้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวทักทายและขอบคุณ US–APEC Business Coalition ที่จัดการหารือครั้งนี้ ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ไทยได้พบปะกับพันธมิตรทางเศรษฐกิจสำคัญอย่างสหรัฐฯ ที่มีความร่วมมือมายาวนาน พร้อมย้ำถึงความสำคัญของภาคเอกชนของสหรัฐฯ ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตและพัฒนาทางเศรษฐกิจทั้งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและในประเทศไทย
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ได้มีโอกาสพบหารือ กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2 ครั้ง ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียนที่มาเลเซีย ซึ่งได้มีการลงนามสันติภาพไทย-กัมพูชา รวมถึงได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทน (Framework for a United States–Thailand Agreement on Reciprocal Trade) และระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำวานนี้ (29 ต.ค.) จึงได้ย้ำให้พิจารณาถึงเรื่องภาษีต่างตอบแทนของสหรัฐฯ ต่อไทย โดยประธานาธิบดีทรัมป์ รับปากที่จะให้ผู้แทนทางการค้าสหรัฐฯ หารือกับไทย ถือเป็นสัญญาณเชิงบวก สำหรับการค้าการลงทุนระหว่าง 2 ประเทศยิ่งขึ้น ขอให้ทุกท่านมีความมั่นใจ และขอยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนสหรัฐฯ และพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เอื้อต่อการลงทุนยิ่งขึ้น
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการหารือกับหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (AMCHAM) เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา และในเดือนหน้าคณะ US–ASEAN Business Council จะเดินทางเยือนไทยเพื่อหารือเรื่องการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ โลกกำลังเผชิญความไม่แน่นอนจากการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก และแนวโน้มของนโยบายกีดกันทางการค้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายสินค้า แรงงาน และการลงทุนทั่วโลก ไทยยึดมั่นในระบบการค้าพหุภาคีที่มีกฎกติกา และพร้อมทำงานร่วมกับกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น APEC และอาเซียน เพื่อสร้างสถาปัตยกรรมเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืน สำหรับมาตรการภาษีของสหรัฐฯ นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่าไทยกำลังเจรจาอย่างใกล้ชิดกับฝ่ายสหรัฐฯ
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งสร้างรากฐานเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง รัฐบาลจึงกำหนดนโยบายเชิงรุกและเร่งผลักดันผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ภายใต้แนวคิด “Quick Big Win” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ลดภาระหนี้ครัวเรือน สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs และดึงดูดการลงทุนใหม่ ๆ รวมทั้งมุ่งสร้างระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อลดขั้นตอนการดำเนินธุรกิจให้เอื้อต่อผู้ลงทุนมากที่สุด รวมทั้ง ขยายความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับ 24 ประเทศใน 17 ฉบับ และกำลังเร่งเจรจากับสหภาพยุโรป สาธารณรัฐเกาหลี และตุรกี ขณะเดียวกัน ไทยยังมีบทบาทเชิงรุกในกรอบเศรษฐกิจภูมิภาค เช่น อาเซียน BIMSTEC ACD และเอเปค รวมถึงตั้งเป้าเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ภายในปี 2573 เพื่อยกระดับมาตรฐานธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และความยั่งยืน
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ไทยกำลังลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพสูง ทั้งด้านโลจิสติกส์ ดิจิทัลไฟแนนซ์ และพลังงาน เพื่อเสริมความมั่นคงทางพลังงานและรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลเช่น โครงการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct Power Purchase Agreements) ซึ่งจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของอุตสาหกรรมอนาคต พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุนมนุษย์ ผ่านโครงการเพิ่มทักษะและทักษะใหม่ โดยตั้งเป้าผลิตแรงงานทักษะสูง 280,000 คนภายในปี 2571 รวมถึงความร่วมมือกับสถาบันชั้นนำของสหรัฐฯ เช่น ข้อตกลงระหว่างมหาวิทยาลัย Arizona State และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ในด้านเซมิคอนดักเตอร์
นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย–สหรัฐฯ เป็นรากฐานสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ โดยในปี 2567 สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยและเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 2 ไทยมีมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศสูงสุดในรอบ 10 ปี รวม 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน การลงทุนของภาคเอกชนไทยในสหรัฐฯ ก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึง 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ไทยยังยินดีที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ เช่น Amazon Web Services, Google และ Microsoft ได้ขยายการลงทุนในไทย โดยเฉพาะโครงการ data center และระบบคลาวด์ ซึ่งจะช่วยยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ พร้อมเชิญชวนภาคเอกชนสหรัฐฯ ร่วมมือพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอุตสาหกรรมเกษตร–อาหาร ซึ่งไทยมีศักยภาพสูงและพร้อมต่อยอดด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงจากสหรัฐฯ
ช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณผู้แทนจากองค์กร US–APEC Business Coalition ที่ให้ความร่วมมืออย่างดียิ่ง และย้ำความเชื่อมั่นว่าการหารือครั้งนี้จะช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย–สหรัฐฯ ให้เติบโตอย่างมั่นคง สร้างประโยชน์ร่วมกันแก่ภาคธุรกิจและประชาชนของทั้งสองประเทศ
ขณะที่ผู้แทนภาคธุรกิจสหรัฐฯ กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี พร้อมชื่นชมต่อความมุ่งมั่นของรัฐบาล ตลอดจนนโยบายด้านเศรษฐกิจ และการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ อาทิ โครงการคนละครึ่งพลัส และพร้อมเข้ามาขยายการลงทุนในโครงการ digital payment ของรัฐบาล โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบ และต่างให้คำมั่นว่าจะลงทุนและขยายการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง
ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือนายกรัฐมนตรี ได้ถ่ายภาพหมู่ เป็นที่ระลึกกับผู้แทนภาคเอกชนสหรัฐฯ บรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น ซึ่งนายกรัฐมนตรี ยังได้ชวนให้ทุกคน โพสต์ท่ามินิฮาร์ท ทำให้มีหนึ่งในผู้แทนภาคเอกชนสหรัฐฯ กล่าวหยอกล้อกับนายกรัฐมนตรี ว่า Korean style
แท็กที่เกี่ยวข้อง อนุทินชาญวีรกูล ,คนละครึ่งพลัส ,ภาคธุรกิจสหรัฐ