เลือกตั้งและการเมือง

"สีหศักดิ์" เผยสิงคโปร์สนใจปัญหาไทย-กัมพูชา ชี้ต้องมีแผนปฏิบัติชัดทำตาม 4 ข้อตกลง

22 ต.ค. 2568

37 views

22 ต.ค. 2568 ที่ประเทศสิงคโปร์ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงการเดินทางเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 21-22 ต.ค.2568 และการหารือทวิภาคีกับ ดร.วิเวียน บาลากริชนัน รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ที่กระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 21 ต.ค.2568 ว่า การเดินทางเยือนสิงคโปร์ในครั้งนี้ เพื่อเป็นประธานร่วมเปิดการประชุมโครงการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานราชการไทยและสิงคโปร์ (Civil Service Exchange Programme : CSEP) ครั้งที่ 15 ซึ่งเป็นการนำหัวหน้าส่วนราชการที่สำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศ มาหารือเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “Partners in progress : shaping a green and digital future” มุ่งเน้นการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน รองรับการขยายตัวและการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วย

นายสีหศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการหารือทวิภาคีกับ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์นั้น ได้พูดคุยถึงการขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจสีเขียว พลังงานสะอาด และด้านดิจิทัล ในหลายระดับ เพราะเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบันขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ขณะเดียวกัน ไทยและสิงคโปร์มีบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ความร่วมมือด้านดิจิทัลอยู่แล้ว ซึ่งไทยต้องการต่ออายุเอ็มโอยูดังกล่าวเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินงาน นอกจากนี้ ไทยยังมีบทบาทในกรอบอาเซียน ในฐานะประธานคณะที่กำลังเจรจาทำกรอบความร่วมมือด้านดิจิทัลของอาเซียน ขณะที่สิงคโปร์อยู่ในกลุ่มประเทศความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ Digital Economic Partnership Agreement โดยมีประเทศสมาชิกที่อยู่ในกลุ่มนี้ ได้แก่ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ชิลี และนิวซีแลนด์ ซึ่งไทยมีความสนใจจะเข้าร่วมในกรอบความตกลงดังกล่าว เพราะเป็นอีกหนึ่งเวทีความร่วมมือที่สำคัญในระดับภูมิภาค

นายสีหศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในด้านเทคโนโลยีทางการเงิน ประเทศไทยมีระบบจ่ายเงินดิจิทัลที่เรียกว่า “พร้อมเพย์ (PromptPay)” ส่วนสิงคโปร์มีระบบที่เรียกว่า “PayNow” โดยทั้ง 2 ฝ่ายมีแนวคิดอยากขยายระบบจ่ายเงินดิจิทัลให้ครอบคลุมระดับภูมิภาค ภายใต้ระบบ “Nexus Pay” เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการชำระเงินระหว่างประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ ไทยต้องการให้มีการลงทุนจากสิงคโปร์เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งขณะนี้สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีมูลค่าการลงทุนในไทยมากที่สุด โดยล่าสุดมีการลงทุนในโครงการ Data Center อุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้า (อีวี) และพลังงานสะอาด

นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า ทั้ง 2 ฝ่าย ยังได้เตรียมการสำหรับการเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในวันที่ 7 พ.ย.นี้ โดยฝ่ายไทยและสิงคโปร์ คาดว่าจะมีการหารือถึงความร่วมมือเพิ่มเติมหลายด้าน อาทิ ด้านเทคโนโลยีการเกษตรและอาหาร ด้านความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งสิงคโปร์อยากจะทำความตกลงกับไทยในการสนับสนุนขายข้าวให้สิงคโปร์เพิ่มเติม

นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า การหารือทวิภาคีกับ ดร.วิเวียน ได้พูดคุยกันในหลายประเด็น ซึ่งรวมถึงเรื่องที่ฝ่ายสิงคโปร์ให้ความสนใจ คือความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยตนได้แจ้งให้ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ทราบถึงสิ่งที่เราได้ไปพูดคุย 4 ฝ่ายครั้งล่าสุด ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย รวมถึงกรณีที่ขณะนี้กำลังมีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ไทย-กัมพูชา ซึ่งนำผลจากการประชุมที่กัวลาลัมเปอร์ ไปสู่ภาคปฏิบัติตามแผนงาน

นายสีหศักดิ์ กล่าวอีกว่า โดยฝ่ายไทยเห็นว่าการพูดคุยในหลักการอย่างเดียว มันไม่พอ แต่ต้องมีความชัดเจนว่าจะมีแผนงานและการปฏิบัติอย่างไรในการถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดน การเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่จะต้องเริ่มมีแผนงานการลงพื้นที่ร่วมกัน และการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติซึ่งขณะนี้ทุกประเทศให้ความสนใจ จึงต้องมีการดำเนินการอย่างจริงจัง ในเมื่อเรามีข้อมูลและส่งให้ฝ่ายกัมพูชาแล้ว เราก็หวังว่าเขาจะรีบไปสอบสวนหรือตรวจสอบข้อมูลว่าแหล่งอาชญากรรมพวกนี้อยู่ที่ไหนบ้าง รวมถึงมีเรื่องการบริหารพื้นที่ชายแดนและการแก้ปัญหาการรุกล้ำเข้ามา ซึ่งต้องมีการร่วมมือกัน และต้องหาแนวทางสันติวิธีมาแก้ไข โดยกรณีเฉพาะหน้า คือการรุกล้ำพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องพูดคุยกันว่าในระดับพื้นที่จะมีการบริหารจัดการอย่างไรในการรักษาความสงบ ขณะเดียวกัน เราก็มีแผนงานการเคลื่อนย้ายคนที่อยู่ในพื้นที่ที่มีการรุกล้ำ

เมื่อถามว่าได้ขอให้สิงคโปร์ช่วยสนับสนุนฝ่ายไทยด้วยหรือไม่ ถ้ามีการหยิบยกปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา ไปหารือในเวทีสุดยอดอาเซียน นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า ที่จริง เราถือหลักที่ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไทยและกัมพูชา ต้องมาพูดคุยกัน และเราไม่อยากให้กลายเป็นปัญหาของอาเซียน มันคงไม่จำเป็นที่ต้องนำไปพูดในที่ประชุมอาเซียน แต่ถ้าทั้ง 2 ฝ่ายจะพูดกัน ก็พูดกันนอกรอบได้ แต่อย่างน้อย สิ่งที่เราควรจะต้องมี คือการทำข้อตกลงในการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อนำไปสู่สันติภาพ และเพื่อก้าวข้ามความขัดแย้งระหว่างประเทศ

คุณอาจสนใจ

Related News