เลือกตั้งและการเมือง

“เท้ง” เรียกร้องนายกฯ Take Action แก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ มองปัญหาชายแดนยังรับผิดชอบน้อยเกินไป

8 ชั่วโมงที่แล้ว

24 views

“เท้ง” เรียกร้องนายกฯ Take Action แก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ มองปัญหาชายแดนยังรับผิดชอบน้อยเกินไป โยนฝ่ายความมั่นคงตลอด ไม่อยากให้คะแนน “อนุทิน” เหตุไม่ได้เลือกมาบริหาร แต่ให้ทำแค่เฉพาะกิจ โยนประชาชนตัดสินผ่านคูหา

วันที่ 15 ต.ค. 2568 ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หรือ เท้ง หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีนายรังสิมันต์ โรม และนางสาวรักชนก ศรีนอก สส.พรรคประชาชน ถามหาตัวนายกรัฐมนตรีหายไปไหน ที่ไม่ตอบสนองเรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์ จนต้องเรียกร้องให้ “กัน จอมพลัง” มาช่วย

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ปัญหานี้นานาชาติให้ความสำคัญ ทั้งสหรัฐอเมริกา, เกาหลีใต้ และประเทศอังกฤษ ที่จะดำเนินการอย่างจริงจังในการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์คอลเซนเตอร์ ที่อยู่ตามเดิมชายแดนประเทศไทย และในฐานะที่ประเทศไทยอยู่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน เราควรจะเป็นประเทศหนึ่งที่ถือบทบาทหลัก ในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ที่กระทบกับประชาชนชาวโลก และตัวนายกรัฐมนตรีก็ต้อง Take Action และถ้าเราติดตามเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการก็จะเห็นได้ว่า ทำอย่างรวดเร็ว ตนคิดว่า ประชาชนก็อยากเห็น การดำเนินการปราบปรามเครือข่ายเหล่านี้อย่างเข้มข้น ซึ่งเข้าใจว่า ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ถ้าจะใช้วิธีการแก้ไขปัญหาแบบรัฐต่อรัฐ ก็มีกระบวนการทวิภาคี

ส่วนกรณีผู้นำประเทศจะมีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติหรือไม่ ต้องแยกไปอีกหนึ่งประเด็น และมีกลไกในการดำเนินการอย่าง ศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC ซึ่งไทยสามารถดำเนินการได้เลย

ส่วนการประชุมผู้นำอาเซียนครั้งที่ 47 หรือ ASEAN Summit ที่ประเทศมาเลเซีย นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็จะเดินทางเข้ามาร่วมประชุมด้วย ซึ่งไทยควรวางท่าทีอย่างไร นายณัฐพงษ์ ระบุว่า เราต้องแยกเป็นเรื่อง ๆ กลไกชายแดนต้องพูดคุยอย่างเป็นทางการบนเวทีเจรจาที่มีอยู่แล้ว ขณะที่เรื่องเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ จะมีพัวพันกับผู้มีอิทธิพล หรือเครือข่ายทางการเมือง ประเทศกัมพูชาหรือไม่นั้น ย้ำว่า นายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการได้อย่างเข้มแข็ง และจริงจัง

เมื่อถามว่า ระยะเวลาที่ทอดนาน แต่นายกรัฐมนตรี ก็มีอำนาจในการจัดการปัญหาดังกล่าวอยู่แล้วนั้น นายณัฐพงษ์ ระบุว่า การอภิปรายของนายรังสิมันต์ ในสภาก็ชี้ให้เห็นว่า บุคคลที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซนเตอร์ ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับรองนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ และยิ่งนายกรัฐมนตรีช้า หรือนิ่งนอนใจ ก็อาจเป็นการแสดงออกให้สังคมเห็นว่า นายกรัฐมนตรีใส่เกียร์ว่าง ไม่จัดการคนของของตัวเอง ที่ถูกวิจารณ์ว่า อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ แต่ถ้าดำเนินการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ก็จะแสดงถึงความโปร่งใส และความไม่เกี่ยวข้องของรัฐบาล

เมื่อถามว่า หากนายกรัฐมนตรีช้า จะถูกตั้งคำถามหนึ่งพรรคประชาชนที่โหวตให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เราใช้กลไกในสภา ไม่ว่าจะเป็นกรรมาธิการที่นายรังสิมันต์ เชิญมาประชุม แต่ก็ยังไม่มา รวมถึงการตั้งกระทู้ถาม และการอภิปรายในสภา ซึ่งอย่างที่ตนตอบหลายครั้ง ถ้าปล่อยไปไม่ว่า เรื่องใดก็ตามจะก่อให้เกิดความเสียหายของประเทศ ไม่สามารถกลับมาแก้ไขได้ ซึ่งอาวุธที่เรามีน้ำหนักมากที่สุด ก็คือ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงจุดนั้น

ส่วนพรรคประชาชนจะถูกมองว่า มีส่วนสร้างความเสียหายด้วยหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ต้องพยายามหาจุดสมดุล ถ้าติดตามการอภิปรายการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ก็ทราบดีว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ใช่ยาวิเศษ การที่เราบอกว่า อยากมีปากท้องที่ดี เศรษฐกิจดี คุณภาพชีวิตดี ก็ต้องเริ่มมาจากการมีรัฐธรรมนูญที่ดีก่อน ดังนั้นในเรื่องนี้อยากให้ทุกคนติดตามการทำงานของพรรคประชาชน เราพยายามจะรักษาสมดุลระหว่างการเดินหน้าจะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และเรื่องอื่นๆ

เมื่อถามว่า เรื่องความเสียหาย เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ กับความเสียหายจากแก๊งคอลเซนเตอร์ ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ ตรงนี้ถือเป็นความเสียหายของประเทศแล้วหรือยัง นายณัฐพงษ์ ระบุว่า ที่จริงเป็นเครือข่ายที่เกิดขึ้นมานานแล้ว และเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยตรง แต่เราต้องดูว่าเกี่ยวข้องกับรัฐบาลชุดนี้อย่างไร ซึ่งนายรังสิมันต์ ได้ชี้แล้วว่าเกี่ยวข้อง ซึ่งนายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจที่มีในการแก้ไข หากยังชะลอ หรือล่าช้า เราก็ต้องยกระดับในการตรวจสอบการใช้อำนาจ ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นฝ่ายคัดเสียงข้างมาก เพื่อกดดันรัฐบาลให้เข้มข้น

ส่วนในสายตาของฝ่ายค้าน นายกรัฐมนตรียังดำเนินการ ไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ใช่หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาไทย-กัมพูชา ทั้งเรื่องของชายแดน และคอลเซ็นเตอร์ ตนเห็นว่า นายกรัฐมนตรีอาจจะยังลงไปแสดงความรับผิดรับชอบ ในฐานะผู้นำสูงสุดของฝ่ายบริหารน้อยเกินไป เพราะจากการให้ข่าว นายกรัฐมนตรีจะโยน ให้เป็นความรับผิดชอบของหน่วยงานความมั่นคง แม้แต่กรณีที่มีการเปิด ซาวด์เสียงหลอนบริเวณชายแดนจังหวัดสระแก้ว นายกรัฐมนตรี ก็ยังตอบว่า อยู่ที่หน่วยงานความมั่นคง ซึ่งที่จริงต้องจี้ที่นายกรัฐมนตรีคนเดียว ในฐานะที่เป็นผู้นำสูงสุดของฝ่ายบริหาร ซึ่งไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบในส่วนนี้ได้

ส่วนให้คะแนนนายกรัฐมนตรี เต็ม 10 คะแนนจากเรื่องนี้เท่าไหร่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า การโหวตตาม MOA เราประเมินเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และความเสียหายเรื่องอื่น ๆ ตนคงไม่อยากให้คะแนน เพราะการโหวตครั้งแรก ก็บอกไปแล้วว่า ไม่ได้เลือกมาบริหาร แต่เลือกมาเป็นนายกรัฐมนตรีเฉพาะกิจ ในช่วงเวลา 4 เดือน ซึ่งการให้คะแนนนายกรัฐมนตรีเท่าไหร่ ต้องรอให้ประชาชนเป็นฝ่ายตัดสิน ให้ประชาชนตัดสินในวันเข้าคูหา ไม่เกิน 6 เดือน หลังจากนี้ที่จะมีการยุบสภา

เมื่อถามว่า พรรคประชาชนพูดมาตลอดว่าจะยกระดับ จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จะกลายเป็นแค่คำขู่หรือไม่ นายณัฐพงษ์ ระบุว่า ไม่ได้ตั้งใจขู่ แต่พูดไปตามหลักการ ถ้าจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อไหร่ก็ยื่นเลย คงพูดออกสื่อไม่ได้ เพราะถ้านายกรัฐมนตรีรู้ก่อนว่า จะยื่น ก็จะยุบสภาก่อนแน่นอน ดังนั้นเรื่องนี้เราติดตามอยู่เรื่อย ๆ ถ้าถึงวันหนึ่งที่จะยื่น จะไม่บอกใครแน่นอน และจะส่งตรงไปที่ประธานสภา

เมื่อถามถึงกรณีที่มีคนตั้งคำถามถึง สส.พรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์เรื่องการสแกนม่านตา ที่อาจเชื่อมโยงเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ และนายเบน สมิธ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า มีการสื่อสารและทำความเข้าใจกับ สส. ในพรรคบางท่านที่ออกมาแสดงความเห็น จริง ๆ ต้องแยกระหว่างระบบแพลตฟอร์ม World ID และ World Coin ออกจากเส้นทางการเงิน ที่ตัวแทนของบริษัทนี้ในประเทศไทยอาจมีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติหรือไม่ ซึ่งจะมีการปรับทิศทางการสื่อสารเรื่องนี้ให้รัดกุม และถูกต้องมากขึ้น

นายณัฐพงษ์ ย้ำว่า ข้อมูลที่กรรมาธิการมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ได้มา เป็นข้อมูลที่หน่วยงานรัฐมาชี้แจง ดังนั้น ไม่น่าใช่ข้อมูลที่ผิดพลาด เพียงแต่วิธีในการสื่อสารอาจทำให้ผู้ฟังที่สนับสนุนเทคโนโลยีในโลกอนาคต ที่สร้างขึ้นมาต่อต้าน Fake ID หรือ AI ที่อาจมาปลอมแปลงเป็นมนุษย์ในอนาคต เขากังวลว่าการสื่อสารอาจทำให้คนบางส่วนเข้าใจผิดว่า ทั้งระบบนั้นเป็นแพลตฟอร์มสำหรับทำอาชญกรรมข้ามชาติ

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า การอภิปรายของนายรังสิมันต์ กรณี นายเบน สมิธ นั้น เป็นเรื่องใหญ่กว่านี้มาก และทางรัฐสภาคองเกรสของสหรัฐฯ เอง ก็ขึ้นรายชื่อแล้ว จึงคิดว่า เรื่องนี้มีมูลมาก คงไม่โยงใยถึงขั้นทำให้ข้อกล่าวหาของ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผิดพลาดไปแต่อย่างใด และภาพที่ไปปรากฏว่าทำบุญร่วมกัน ก็ยังไม่ได้คำตอบ



คุณอาจสนใจ

Related News