เลือกตั้งและการเมือง
“เท้ง” ไม่หวั่นผลโพลคะแนนนิยม “ภูมิใจไทย” พุ่ง ชี้หากเสียงโหวตแก้รัฐธรรมนูญเกิน 146 เสียง ไม่ขัด MOA
13 ต.ค. 2568
54 views
วันนี้ (13 ต.ค. 2568) นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสวนดุสิตโพลระบุว่าคะแนนของพรรคภูมิใจไทยแซงหน้าพรรคประชาชน โดยประชาชนมองว่าพรรคภูมิใจไทยสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ ว่า ตนได้ดูผลโพลที่ออกมาแล้ว จริงๆ ก็มีประเด็นข้อคำถามเช่นเดียวกันว่าคิดว่าเป็นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจระยะสั้นหรือแก้ปัญหาในระยะยาวมากกว่ากัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่ประชาชนก็มีการสะท้อนเสียงออกมาเหมือนกันว่าเป็นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสั้น
ตนก็ไม่ได้คิดว่าผลโพลตรงนี้น่าเป็นห่วงอะไร เป็นข้อคิดเห็นของประชาชน และเห็นตรงกันว่าประชาชนโดยส่วนใหญ่ก็มองเห็นว่ามาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลในช่วงนี้เป็นการปัญหาในระยะสั้นจริง ส่วนปัญหาใหญ่ๆ ของประเทศ ในตอนนี้เราอาจจะใช้การแก้ปัญหาระยะสั้นอย่างเดียวไม่พอ แต่จำเป็นจะต้องใช้การลงทุนที่ถูกจุดในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างและแก้ปัญหาระยะยาวมากกว่านี้เช่นเดียวกัน
เมื่อถามว่ากังวลว่าจะเป็นการดึงคะแนนเสียงของพรรคภูมิใจไทยให้เพิ่มขึ้นในช่วงเลือกตั้งหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า แต่ละพรรครวมถึงคนที่เป็นรัฐบาลในขณะนี้ เขาก็คงมีสิทธิ์ของเขาในการที่จะทำนโยบายต่าง ๆ ในมุมหนึ่งก็อาจจะเป็นนโยบายที่ช่วยเหลือประชาชนจริง แต่ในอีกมุมหนึ่งตนก็เชื่อว่าสังคมและประชาชนก็รู้เท่าทันและเฝ้ามองอยู่ว่าการดำเนินนโยบายบางของรัฐบาลในช่วงนี้เป็นการที่มีวัตถุประสงค์พุ่งเป้าไปเพื่อการหาเสียงคะแนนนิยมอย่างเดียวเท่านั้น หรือว่าจริง ๆ แล้วต้องการแก้ไขปัญหาของประเทศในระยะยาว
ซึ่งการเลือกตั้งครั้งหน้าถ้ามีการรณรงค์หาเสียง มีการนำเสนอนโยบาย หรือถึงวันที่ประชาชนได้ไปใช้อำนาจของพวกเขาผ่านคูหาเลือกตั้ง ทุกคนก็จะไม่ได้มุ่งไหวแต่การแก้หรือกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นอย่างเดียวเท่านั้น เพราะว่านโยบายแจกเงินที่ผ่านมาอย่างดิจิทัลวอลเล็ต เราก็เห็นว่ามันก็ไม่ได้ช่วยในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้จริง
ดังนั้นเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าประชาชนคนไทยจะเลือกรัฐบาลที่เขาเชื่อมั่นว่าแก้ปัญหาได้ทั้งระยะสั้นและแก้ปัญหาประเทศในระยะยาวได้อย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
เมื่อถูกถามถึงกรณีการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งพรรคประชาชนได้เตรียมพร้อมอย่างไรบ้าง ว่า พรรคประชาชนได้มีการเตรียมผู้อภิปรายไว้หลายคน หลัก ๆ ก็จะมีการพูดถึงในเรื่องเหตุผลความจำเป็นว่าทำไมจะต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ แต่ส่วนที่มีความสำคัญมากกว่าก็คือการพยายามชี้ให้ประชาชนเห็นว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้จะเป็นการแก้ปัญหาปากท้อง และคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน และมีการเตรียมผู้อภิปรายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสิทธิเสรีภาพ หน้าที่ของรัฐ รวมถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย โดยจะให้น้ำหนักในส่วนนี้ไม่แพ้ประเด็นทางการเมืองหรือเรื่องอื่นๆ
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ส่วนอีกเรื่องที่คิดว่าน่าจะมีความสำคัญเช่นเดียวกันก็คือเรื่องของรูปแบบที่มาหรือว่าสูตรของผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ เข้าใจว่าตอนนี้แต่ละพรรคไม่ว่าจะเป็นเพื่อไทย ภูมิใจไทยหรือพรรคประชาชน ก็อาจจะมีข้อแตกต่างในรายละเอียดกันอยู่ และอาจจะต้องสู้และให้เหตุผลกันต่อว่าควรต้องใช้ร่างของใครใดเป็นร่างหลัก เพราะว่าทิศทางตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล หรือ สว.ก็น่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือรับทุกร่าง เพียงแต่ว่าจะใช้ร่างใครเป็นร่างหลักที่เวลานี้ยังไม่ได้ข้อสรุปเท่าไร
เมื่อถามว่าพรรคภูมิใจไทยระบุว่าจะใช้ร่างของพรรคภูมิใจไทยเป็นร่างหลัก พรรคประชาชนยอมรับได้หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า แต่ละพรรคก็น่าจะต้องชูร่างของตัวเองเป็นร่างหลักอยู่แล้ว แต่ตนคิดว่าสิ่งสำคัญกว่าคือการที่เราจะต้องมีผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญที่มีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด ซึ่งคงต้องมีการให้เหตุผล มีการพูดคุยกันฝ่ายกลไกของวิปในช่วง 2 วันนี้ว่าจะเอาอย่างไร แต่สุดท้ายแต่ละส่วนเขาก็คงมีสิทธิ์ที่จะเสนอร่างของตัวเองเป็นร่างหลักและให้ลงมติกันไปตามนั้น
เมื่อถามว่าหากเสียงของรัฐบาลเพิ่มขึ้นจาก 146 เสียงเดิม จะส่อขัดต่อ MOA ที่ทำไว้หรือไม่ ซึ่งพรรคภูมิใจไทยระบุว่าจะไปห้ามคนที่มาโหวตให้ไม่ได้ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เรื่องเสียงของรัฐบาลจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไรนั้น ก็อาจจะต้องดูเป็นวาระหรือดูเป็นเรื่องๆ ไป อย่างเรื่องของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ อันนั้นเป็นการแบ่งได้ชัดที่สุดว่าใครเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาลกันแน่
แต่เรื่องของรัฐธรรมนูญบางทีมันก็อาจจะไม่ได้เป็นประเด็นวาระที่อาจจะใช้ในการแบ่งระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลขนาดนั้น เพราะเป็นประเด็นที่ต้องอาศัยเสียงของทุกภาคส่วนในการผลักดัน ถ้าเราดูในเรื่องเงื่อนไขของการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งในวาระ 1 และ วาระ 3 นอกจากจะใช้เสียงของ สว. 1 ใน 3 แล้ว ก็อาจจะต้องอาศัยเสียงของฝ่ายค้านด้วย ดังนั้นเมื่อเป็นแบบนี้จึงทำให้วาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจจะไม่ได้เป็นวาระที่ใช้เป็นจุดตัดว่าใครเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล เพราะต้องอาศัยเสียงของทุกคนจึงจะสามารถเดินหน้าแก้ไขได้
เมื่อถามว่าฝั่งพรรคเพื่อไทยแสดงความกังวลว่าพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทยอาจจะรวมกันแล้วผลักร่างของพรรคเพื่อไทยออก นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าไม่น่าจะมีข้อห่วงใยอะไรในตรงนั้น เพราะว่าตอนนี้เอาเฉพาะในส่วนของพรรคประชาชนเองเท่าที่มีการพูดคุยหารือก็เห็นไปในทิศทางเดียวกับภาพรวมที่พรรคอื่นๆ หรือแม้ต่อ สว.บางส่วนก็มีการสะท้อนความเห็นออกมาแล้วว่าควรจะต้องรับไปทุกร่างของทุกคน เพื่อที่จะได้ไปพูดคุยในรายละเอียดและข้อแตกต่างในวาระ 2 และ 3 เพียงแต่ที่อาจจะยังเห็นไม่ค่อยตรงกันก็คือในเรื่องที่ว่าจะใช้ร่างของใครเป็นร่างหลัก
แท็กที่เกี่ยวข้อง