เลือกตั้งและการเมือง
“พิธา” ลั่น “ภูมิใจดูด” ก็เคยแพ้ผม บอก “อนุทิน” ซักผ้าเสร็จกลับมาตอบสื่อด้วย ป้อง ปชน.ไม่ใช่ฝ่ายค้ำ
10 ต.ค. 2568
188 views
“พิธา” ลั่น “ภูมิใจดูด” ก็เคยแพ้ผม เตือน “อนุทิน” อย่าให้การเมืองนำบ้านเมือง แนะ “พูดแล้วทำ” ให้ได้แบบสโลแกนพรรค ป้อง “ประชาชน” ไม่ใช่ฝ่ายค้ำ มองการเมืองไทยยุคนี้คือเฉพาะกิจ แนะเร่งกู้ภาพลักษณ์ด้วยผลงาน
วันที่ 10 ต.ค.2568 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน ว่า เป็นการเมืองเฉพาะกิจ มีนายกเฉพาะกิจที่เข้าสู่อำนาจแบบเฉพาะกิจ ต้องหาสัดส่วนบาลานซ์ ระหว่างการแก้ไขปัญหาให้บ้านเมือง กับการทำตามสัญญาให้กับฝ่ายค้าน ซึ่งคิดว่าฝ่ายค้านมีกลไกในการควบคุมรัฐบาลเสียงข้างน้อย ให้เป็นไปตามข้อตกลง เช่น การอภิปรายนโยบายซึ่งเห็นว่าทำได้ดีพอสมควร
เมื่อถามว่าพรรคประชาชนอาจมีข้อครหาว่าไปหนุนแล้วจะไม่กล้าตรวจสอบรัฐบาล นายพิธา มองว่า พรรคประชาชนไม่ใช่ฝ่ายค้ำได้พิสูจน์ผ่านการอภิปรายในการทำเรื่องสำคัญไปแล้ว นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนก็ได้ ใช้กลไกสภาตรวจสอบรัฐบาลอยู่เรื่อยๆ เพียงแต่ต้องเรียกร้องไปยังรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีให้ทำตามคำสัญญาอย่างตรงไปตรงมา เพราะแบรนด์ดิ้งของ พรรคภูมิใจไทยคือ “พูดแล้วทำ” ถ้าพลิกไปมาก็ห่วงว่า แบรนด์ดิ้งของพรรคจะไม่ได้ใช้อีกในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
ส่วนฉากทัศน์การเมือง 4 เดือน ที่จะยุบสภา นายพิธา ประเมินว่า สิ่งที่น่ากังวลสำหรับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คือน่าจะเน้นบ้านเมืองมากกว่าการเมือง และอย่าให้การเมืองนำบ้านเมือง เพราะฉากทัศน์ต่างๆ มาจากหลายเรื่องทั้งการต่างประเทศ เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น
อย่างวันนี้ตนเองมาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็มาสอน 2 เรื่องด้วยกัน คือ 1.การเลือกตั้งประเทศเมียนมาร์ที่จะมาถึง และ 2.การประชุมอาเซียน เป็น 2 เรื่องร้อนสำหรับนายกฯ เฉพาะกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตอนนี้ที่ต้องดูแล รวมถึงเรื่องนิติรัฐนิติธรรม เป็นเรื่องสำคัญที่กดทับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ส่วนกรณีที่พรรคการเมืองหลายพรรคเริ่มตั้งเป้าตัวเลขเก้าอี้ สส. ในการเลือกตั้งครั้งหน้าแล้วนั้น นานพิธา ประเมินว่า การแข่งกันประกาศจำนวน สส. ที่อยากได้ 80, 200 หรือ 250 ที่นั่ง เป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ และไม่สะท้อนความพร้อมทางการเมืองอย่างแท้จริง และหากมองย้อนกลับไปในช่วงที่ตนเองดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกล พรรคให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ โดยตั้งเป้าสร้างพรรคในลักษณะพรรคมวลชนที่มี สส.เขตมากกว่าบัญชีรายชื่อ และมีตัวแทนกระจายครบทุกภูมิภาค ไม่ใช่เพียงพรรคที่มีฐานเสียงเฉพาะในบางภูมิภาคเท่านั้น
นายพิธา กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากชวนพรรคประชาชนให้หันมาคิดในเชิงคุณภาพว่า จะเพิ่มศักยภาพและขยายฐานเสียงในแต่ละพื้นที่ได้อย่างไร เช่น พื้นที่ภาคใต้ ซึ่งมีจังหวัดสำคัญอย่างนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี สงขลา และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมกันประมาณ 42 เขต รวมถึงภาคอีสานและภาคเหนือ ที่ในการเลือกตั้งครั้งก่อน ที่พรรคก้าวไกลยังทำผลงานได้ไม่ดีนัก
เมื่อถามต่อว่ายืนยันได้หรือไม่ว่าการที่พรรคประชาทำข้อตกลง หรือ MOA กับพรรคภูมิใจไทยจะไว้ใจได้ นายพิธา กล่าวว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับพรรคภูมิใจไทยเองทำตามสโลแกน ของพรรคเพื่อใช้ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ หรือจะเสี่ยงในระยะสั้นเพื่อที่จะสูญเสียความเป็นตัวตนของพรรคในระยะยาว และขึ้นอยู่กับพรรคประชาชนว่าใช้กลไกได้ดีที่สุดหรือไม่
“หากตอบแบบส่วนตัวไม่ว่าจะพรรคภูมิใจดูด แต่ตอนนั้นที่ดูดมาแพ้ผมหมดเลยนะ คนที่โดนดูดก็จะต้องรู้ว่ามีแผลทางการเมืองตลอดชีวิตประชาชนก็จะลงโทษ ไม่แน่ใจว่าการย้ายพรรคในเร็วๆ นี้ ส่วนตัวแล้วในฐานะอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลก็ไม่มีความกังวลเพราะเป็นคนละยุทธภูมิกัน เราไม่ว่าว่าใครการเมืองเก่าการเมืองใหม่อย่างแน่นอน เพราะยุทธภูมิของเราทำงานแบบล่างขึ้นบน ในขณะที่ส่วนใหญ่ทำแบบบนลงล่าง
คนที่ต้องกังวลคือคนทำงานการเมืองแบบบ้านใหญ่ใช้กลไกข้าราชการเดินเกมการเมืองมากกว่า คนที่การเมืองแบบล่างขึ้นบน อย่างพรรคประชาชน ปัญหาอยู่ที่ โฟกัสตัวเอง โฟกัสตัวเอง อย่างพรรคประชาชนต้องแก้ปัญหาของตัวเองหาแคนดิเดตให้ดี หายุทธศาสตร์ให้ดีสื่อสารทางการเมืองให้มากขึ้น ไม่ต้องสนใจโพล หรือสถิติก็ขอให้มีสมาธิ” นายพิธากล่าว
เมื่อถามว่าพรรคประชาชนถูกมองว่าเป็นพรรคฝ่ายค้ำจะกู้ภาพลักษณ์ได้อย่างไรนั้น นายพิธา ย้ำว่า ไม่ใช่ฝ่านค้ำอย่างแน่นอน และจะกู้ภาพลักษณ์ได้คือการทำงานอย่างต่อเนื่อง แต่จะตัดสินใจอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับพรรคประชาชน แต่ตนเองรู้สึกติดใจกับคำสัมภาษณ์ของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ที่บอกว่าไม่ได้รับการติดต่อมาและอาจจะติดต่อ vvip อยู่ขนาดนั้น อาจทำให้เริ่มเข้าใจการตัดสินใจได้ และในตอนที่ตนเองเคยเป็นผู้ชนะเลือกตั้ง และเป็นอดีตแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเบอร์หนึ่ง ก็ยังรู้สึกได้ถึงการประวิงเวลา
แม้การตัดสินใจของพรรคประชาชนอาจไม่สมบูรณ์ตนเองก็พอเข้าใจได้ ตอนนี้ผ่านไปแล้วกลับไปแก้อะไรไม่ได้ ทำหน้าที่ฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลเฉพาะกิจชุดนี้ให้ได้มากที่สุด และคอยเตือนนายกรัฐมนตรีตลอดเวลาว่าเป็นนายกรัฐมนตรีเฉพาะกิจ ที่มาจากอำนาจเฉพาะกิจเพื่อภารกิจเฉพาะกิจ
ช่วงท้ายนายพิธาแซวนายอนุทินด้วยว่า “ซักผ้าเสร็จแล้ว กลับมาตอบคำถามสื่อมวลชนด้วย”
แท็กที่เกี่ยวข้อง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์