เลือกตั้งและการเมือง
“ธนาธร” มองแนวโน้ม 4 เดือนยุบสภาเกิดขึ้นจริง ดักทางหากเบี้ยว “ภูมิใจไทย” เสียมากกว่าได้
โดย nicharee_m
3 ชั่วโมงที่แล้ว
70 views
“ธนาธร” มองแนวโน้ม 4 เดือนยุบสภาเกิดขึ้นจริง ดักทางหากเบี้ยว “ภูมิใจไทย” เสียมากกว่าได้ ย้ำเสียงมหาชนมีความสำคัญร่วมกดดันทำตาม MOA
วันที่ 19 กันยายน 2568 ที่ห้องริมน้ำ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม จัดกิจกรรมรำลึกครบรอบ 19 ปี การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และครบรอบ 5 ปีการชุมนุมใหญ่ที่ท้องสนามหลวงของกลุ่มเยาวชน 19 กันยายน 2563 โดยในงานมีการเสวนา “4 เดือนนี้ ชี้ชะตาการเมืองไทย” โดย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมเป็นหนึ่งในวิทยากร โดยนอกจากการรำลึกเหตุการณ์ทั้งสองแล้ว วงเสวนายังมีการพูดคุยถึงสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันด้วย
โดยในช่วงหนึ่งของวงเสวนา มีการตั้งคำถามขึ้นมาว่าการยุบสภาจะเกิดขึ้นได้จริงภายใน 4 เดือนหรือไม่ ซึ่งนายธนาธร ระบุว่า เหตุเดียวที่ตนเชื่อว่าจะไม่มีวันที่ 121 คือการมีชีวิตรอดของภูมิใจไทยเอง ถ้าภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลอยู่ต่ออีก 6 เดือนหรือ 1 ปี ภูมิใจไทยจะได้อะไรและเสียอะไร แรงจูงใจทางการเมืองของภูมิใจไทยคือความต้องการปรับภาพลักษณ์ของตัวเอง ในอนาคตภูมิใจไทยต้องการเป็นพรรคใหญ่ ดังนั้น ถ้ามองในแง่นี้วิธีการของภูมิใจไทยจึงไม่ใช่การอยู่ต่ออีกเดือนหรือปี แต่คือการทำตามสัญญา เพื่อเป็นพรรคใหญ่แทนที่พรรคประชาธิปัตย์ หรือเพื่อไทยสมัยก่อน ด้วยเหตุผลนี้ตนจึงไม่คิดว่าจะมีวันที่ 121
แน่นอนว่าในทางเทคนิคอาจจะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นได้ จนอาจจะมีความล่าช้าเกิดขึ้น ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้นก็ต้องดูว่าการเลื่อนการยุบสภาออกไปมีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ ซึ่งการตื่นตัวของภาคประชาสังคมที่จะช่วยกันกดดันเรื่องนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการทำให้สัญญาที่คุณอนุทินให้ไว้ยังคงความศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ได้
นายธนาธร กล่าวต่อไปว่า การตัดสินใจของพรรคประชาชนตั้งอยู่บนความเสี่ยงแน่นอน แต่ตนเชื่อว่าที่เพื่อนในพรรคประชาชนตัดสินใจเช่นนั้น ก็เพราะเห็นว่าประตูที่จะนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญมีเพียงประตูนี้บานเดียว การเลือกของพรรคประชาชนครั้งนี้จึงไม่ใช่การเลือกคนมีความรู้ความสามารถ ในอดีตทำอะไรไว้บ้าง หรือมีจริยธรรมหรือไม่ แต่ปัจจัยในการเลือกคือใครที่จะนำไปสู่การเปิดประตูแก้รัฐธรรมนูญได้มากกว่ากัน เมื่อเราไม่ได้ถือกุญแจแต่เขาเป็นคนถือกุญแจ ก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนและรับความเสี่ยงกัน ถือเป็นการตัดสินใจเสี่ยงเพื่อหยิบกุญแจนั้นมาไขกลอนเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ หากกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญเดินไปถึงจุดที่มีการลงประชามติได้จริง การรณรงค์ประชามติก็เป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ ทุกคนเคยเจอบทเรียนมาแล้วในการประชามติรัฐธรรมนูญในปี 2559 แต่การประชามติครั้งนี้มีต้นทุนที่สูงกว่ามาก ถ้าแพ้ก็ไม่รู้จะกลับมาแก้อย่างไรได้อีก ดังนั้น การบังคับให้การทำประชามติเกิดขึ้นพร้อมการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อให้มีคนใช้สิทธให้เยอะที่สุดจึงมีความจำเป็นมาก ถ้าทำประชามติโดดๆ ไม่มีใครกลับบ้านไปลงประชามติแน่ ดังนั้น ถ้ากระบวนการผ่านไปถึงจุดนั้นจริงๆ ก็ต้องขอแรงทุกคนมาช่วยกันรณรงค์ให้เต็มทึ่ ร่วมการถกเถียง สื่อสารให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารให้มากที่สุด ให้เห็นปัญหาของรัฐธรรมนูญให้มากที่สุด วางใจไม่ได้เด็ดขาดว่าจะผ่านโดยอัตโนมัติ
แท็กที่เกี่ยวข้อง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ,พรรคภูมิใจไทย