เลือกตั้งและการเมือง

“ปานเทพ” เผยสัมพันธ์ “ทักษิณ-ฮุนเซน” ยังไม่ขาด รัฐบาลไทยยังอ่อนข้อกัมพูชา

โดย chutikan_o

13 ก.ค. 2568

114 views

“ปานเทพ” เผยสัมพันธ์ “ทักษิณ-ฮุนเซน” ยังไม่ขาด รัฐบาลไทยยังอ่อนข้อกัมพูชา ชี้ ต้องเปลี่ยนผู้นำหากหวังจัดการปัญหาชายแดน จี้ กต.เปิดผลประชุม JBC ซัดปิดลับทำประชาชนเคลือบแคลง


เมื่อเวลา 11.10 น. วันที่ 13 ก.ค. 2568 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ให้สัมภาษณ์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร และสมเด็จฮุนเซน ว่า ยังไม่ถึงขั้นแตกหัก แม้จะมีความขุ่นเคืองใจกันอยู่ก็ตาม โดยระบุว่าทางสมเด็จฮุนเซนยังอ้างถึง “ความลับ” บางอย่างที่ยังไม่เปิดเผย ขณะที่ไทยเองแม้จะมีมาตรการในมือ แต่ก็ยังไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในประเด็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่พบว่ามีต้นทางจากกัมพูชาจำนวนมาก ไทยยังปฏิบัติอย่างอ่อนมาก เมื่อเทียบกับมาตรการที่ทางกัมพูชาดำเนินการมาแล้ว เห็นได้ชัดถึงความแตกต่างในจุดยืนและความจริงจัง


เมื่อสอบถามถึงท่าทีของรัฐบาลกัมพูชา กรณีที่รัฐบาลจะถอนโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ นายปานเทพ มองว่า เรื่องดังกล่าวเป็นประเด็นทางการเมืองภายในของกัมพูชามากกว่าจะเกี่ยวข้องกับต่างประเทศ แม้จะมีผลประโยชน์บางส่วนของชาติต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่สุดท้ายก็เป็นผลประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น


ทั้งนี้ นายปานเทพ กล่าวอีกว่า ขณะนี้รัฐบาลกัมพูชากำลังเผชิญกับกระแสความนิยมที่ลดต่ำลง เช่นเดียวกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งขณะนี้ก็ได้รับความนิยมน้อยลง หากต้องการเดินหน้านโยบายใดก็จำเป็นต้องพิจารณาถึงกระแสสังคมที่เปลี่ยนไป การถอนตัวจากโครงการดังกล่าวจึงอาจเป็นเพียงการถอยในเชิงยุทธศาสตร์


ในประเด็นการเมืองไทย นายปานเทพ ให้ความเห็นว่า แม้สถานการณ์จะดูคลุมเครือ แต่ยังไม่ถือว่าเดินมาถึงทางตันเสียทีเดียว ประเทศยังสามารถหาทางออกได้ในเชิงเทคนิคและกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ายังไม่เห็นทิศทางชัดเจนว่า ประเทศจะก้าวพ้นวิกฤตไปได้อย่างไร


สำหรับแนวทางในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน นายปานเทพ เสนอว่า สิ่งแรกที่ต้องทำคือ การมีผู้นำที่ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับกัมพูชา โดยระบุว่า แม้จะมีท่าทีว่าไทยกับกัมพูชาแตกกัน แต่ข้อเท็จจริงกลับยังไม่มีการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ที่ทำไว้ในปี 2543 และ 2544 อีกทั้งการเจรจากับสหรัฐฯ และโครงการไตรภาคียังคงถูกปิดเป็นความลับ


“หากนางสาวแพทองธารรู้สึกว่าเสียเปรียบหรือไม่ไว้ใจสมเด็จฮุนเซนจริง ก็ต้องแสดงจุดยืนให้ชัด ยกเลิก MOU ปี 43 และ 44 กลับมายึดหลักแผนที่กลาง ใช้เส้นมัธยัสถ์ตามหลักสากล และนำกลไก JBC มาใช้จัดการปัญหา เหมือนที่เมียนมาใช้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์” นายปานเทพ กล่าว พร้อมเสนอว่า หากรัฐบาลยังไม่สามารถทำได้ ก็ควรพิจารณาเปลี่ยนผู้นำที่มีความโปร่งใสและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน


นายปานเทพ ยังกล่าวถึงความจำเป็นในการเปิดเผยข้อมูลของกลไก JBC (คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา) โดยเน้นย้ำว่าไม่ควรเป็นความลับ เพราะการเจรจาเรื่องเขตแดนเป็นเรื่องของความมั่นคงแห่งชาติ และประชาชนควรมีสิทธิได้รับรู้ และหากบอกว่าเป็นเพียงกรอบเจรจา ก็ต้องนำเข้าสู่สภา ถ้าเป็นประโยชน์ต่อประเทศ เหตุใดต้องปิดบัง? การปิดบังเช่นนี้ยิ่งสร้างความสงสัย และอาจกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนอย่างรุนแรง


ภายในงาน “ความจริงมีหนึ่งเดียว” นายปานเทพเปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า ประเด็นสำคัญที่ต้องการสื่อสารในวันนี้ คือเรื่อง “อธิปไตยของประเทศไทย” โดยจะย้อนเล่าการเสียดินแดนของชาติไทยมากกว่า 15 ครั้ง และการต่อสู้จากภาคประชาชนตลอด 17 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะประเด็นเขตแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเริ่มชัดเจนตั้งแต่ปี 2551 ที่เขาพระวิหารถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยฝ่ายกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว


นายปานเทพ กล่าวว่า ขณะนั้นตนได้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเห็นว่าเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ต่อมาในปี 2554 ได้มีการเคลื่อนไหวจากประชาชนคัดค้านการขึ้นทะเบียนดังกล่าว จนนำไปสู่การถอนตัวของรัฐบาลไทยออกจากภาคีอนุสัญญามรดกโลก อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนรัฐบาลในเวลาต่อมา กลับส่งผลให้พื้นที่เขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชาในที่สุด


ปี 2556 กัมพูชาได้ยื่นต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ขอให้ตีความพื้นที่โดยรอบเขาพระวิหารเพิ่มเติม ซึ่งท้ายที่สุดไทยก็ต้องแพ้อีกครั้งในเวทีระหว่างประเทศ


“สถานการณ์ในปี 2568 ยิ่งทวีความรุนแรง เพราะไม่ใช่แค่แนวชายแดนทางบกเท่านั้น แต่ยังลุกลามไปถึงชายแดนทางทะเล โดยพบว่ามีการรุกล้ำอย่างเป็นขบวนการ มีต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้องในลักษณะมหาอำนาจแทรกแซง หากไทยยังไม่เปลี่ยนท่าที อาจซ้ำรอยวิกฤตแบบที่ยูเครนเคยประสบมา เราไม่สามารถถอยไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว ประเทศไทยต้องเป็นฝ่ายรุก เพื่อทวงคืนพื้นที่กลับมา” นายปานเทพกล่าว อย่างหนักแน่น


นายปานเทพ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า การรุกล้ำบริเวณพื้นที่โนแมนส์แลนด์ มีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น การลักลอบตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าของไทย รวมถึงการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง เช่น ถนน บันได ลิฟต์ บริเวณปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งชัดเจนว่าเป็นการรุกคืบเข้ามาในอธิปไตยของไทย ขณะที่ชายแดนทางทะเลก็มีสิ่งปลูกสร้างยื่นเข้ามาในเขตน่านน้ำของไทย


นายปานเทพ ย้ำจุดยืน เรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศเปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) โดยระบุว่า เรื่องเขตแดนเป็นประเด็นด้านความมั่นคงของชาติ ประชาชนมีสิทธิรับรู้ ไม่ควรถูกปิดเป็นความลับ


“ถ้าอ้างว่าเป็นเพียงกรอบเจรจา ก็ควรนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพราะหากมีผลดีต่อประเทศ ทำไมต้องปกปิด การปิดบังข้อมูลเช่นนี้ยิ่งสร้างความเคลือบแคลงใจ และกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” นายปานเทพ กล่าวสรุป


คุณอาจสนใจ

Related News