เลือกตั้งและการเมือง

ส่องความเห็น 3 กูรูเศรษฐกิจ ผลเลือกตั้งสหรัฐฯ 'ทรัมป์' หรือ 'แฮร์ริส' ใครส่งผลดีต่อไทย?

โดย nattachat_c

4 พ.ย. 2567

74 views

ใกล้เข้ามาแล้ว สำหรับศึกชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. ซึ่งจะเป็นวุนพุธที่ 6 พ.ย. 2567 ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น 'โดนัลด์ ทรัมป์' ตัวแทนจาก 'พรรครีพับลิกัน' หรือ 'กมลา แฮร์ริส' ตัวแทนจาก 'พรรคเดโมแครต' จะได้เป็นประธานาธิบอดี ก็จะกระทบหลายมิติต่อโลก และในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเศรษฐกิจโลก เพราะนโยบายของทั้ง 2 ฝ่ายแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งในด้านการค้า การลงทุน และนโยบายที่อาจส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อ 


โดยทาง 'ไทยรัฐ' ได้คุยกับ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ เลขานุการบริษัท และกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และเป็นอดีตอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 


หาก 'โดนัลด์ ทรัมป์' ตัวแทนจาก 'พรรครีพับลิกัน' ได้เป็นประธานาธิบดี

ความขัดแย้งและสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะรุนแรงขึ้น เพราะทรัมป์ ต้องการที่จะปกป้องธุรกิจภายในประเทศ แน่นอนว่า กรณีดังกล่าวจะกระทบต่อการส่งออกของประเทศไทย


แต่สงครามจริงที่กำลังเกิดในพื้นที่ตะวันออกกลาง ความขัดแย้งกรณีไต้หวัน หรือคาบสมุทรเกาหลี จะมีโอกาสลดลง รวมทั้งการสนับสนุนความช่วยเหลือยูเครน เพราะทรัมป์เป็นนักธุรกิจ รู้ดีว่า หากเกิดสงครามขึ้น จะส่งผลเสียต่อการทำธุรกิจ และมีผลต่อต้นทุนทางการเงินทั่วโลก


และนโยบายทรัมป์ก็ชัดเจนว่า ไม่สนับสนุนการให้เงินหรือความช่วยเหลือประเทศที่ทำสงคราม นอกจากนั้น มีความเป็นได้ว่าทรัมป์จะกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น และแรงขึ้น เพื่อลดโอกาสเศรษฐกิจถดถอย เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้ดีขึ้น


หาก 'กมลา แฮร์ริส' ตัวแทนจาก 'เดโมแครต' ได้เป็นประธานาธิบดี

มองว่าจะดำเนินนโยบายต่อเนื่องจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน จะไม่รุนแรงขึ้นก็จริง แต่สงครามจริงในพื้นที่จะดำเนินต่อไป ซึ่งน่ากังวลเพราะหากสงครามจริงเกิดขึ้นแล้วจะไม่จบง่าย ๆ ไม่ใช่ยิงกัน เจรจาหยุดยิง แล้วจบเหมือนสมัยก่อน


เห็นได้จากในตะวันออกกลาง ที่ขยายจากประเทศเดียวเป็น 7 ประเทศ ในขณะนี้ เพราะต่างฝ่ายต่างแก้แค้นกันไปมา หาพันธมิตรเพิ่มขึ้น ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้น อาจทำให้พื้นที่สงครามขยายไปยังที่อื่น


ประเด็นที่ผมกังวลมากที่สุด คือการเกิดสงครามจริงรุนแรงขึ้นมากกว่าจะกังวลสงครามการค้าที่รุนแรง เพราะสงครามจริงจะส่งผลต่อเส้นทางขนส่ง ต้นทุนการค้า การเงิน ต้นทุนพลังงานกระทบทั่วโลก ขณะที่หากเป็นสงครามการค้าที่กีดกันจีนมากขึ้น อาจทำให้ไทยมีโอกาสส่งสินค้าทดแทนจีน ขณะที่บริษัทจีนหรือประเทศอื่น ๆ ที่มีฐานผลิตที่จีนจะย้ายมาลงทุนที่ประเทศไทยมากขึ้นได้เช่นกัน


ด้าน นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบีไทย


หาก 'โดนัลด์ ทรัมป์' ตัวแทนจาก 'พรรครีพับลิกัน' ได้เป็นประธานาธิบดี

มองด้านบวกเศรษฐกิจโลกจะรอดจากภาวะถดถอย เพราะมาตรการลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 15% จะกระตุ้นให้ธุรกิจในสหรัฐฯ เพิ่มการจ้างงาน และปรับขึ้นค่าแรงส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตขึ้น ราคาน้ำมันดิบโลกจะลดลง จากนโยบายส่งเสริมการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ และการทำข้อตกลงที่เป็นประโยชน์กับประเทศตะวันออก กลาง และรัสเซีย รวมทั้งน่าจะมีการย้ายฐานการลงทุนมาไทยเพิ่มขึ้น เพราะภาษีการค้าที่กำหนดต่อจีน จะกระตุ้นให้บริษัทจีนย้ายฐานไปยังประเทศอื่น ช่วยเสริมสร้างอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และดิจิทัล


ส่วนด้านลบมองว่า การส่งออกของไทยจะเสี่ยงโตช้า จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รวมทั้งต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลจะอยู่ระดับสูงตามความเสี่ยงทางการคลัง รายได้ภาคเกษตรของไทยเสี่ยงลดลงตามราคาสินค้าตลาดโลก กดดันให้อุปสงค์ในประเทศไทยอ่อนแอตาม


หาก 'กมลา แฮร์ริส' ตัวแทนจาก 'เดโมแครต' ได้เป็นประธานาธิบดี

หากรองประธานาธิบดีแฮร์ริสชนะ คงเห็นการเปลี่ยนแปลงไม่มาก เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่จะดำเนินนโยบายต่อเนื่องจากประธานาธิบดีไบเดน โดยไทยต้องรับมือกับความไม่แน่นอนของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน และต้องไม่เข้าข้างฝ่ายใด ระมัดระวังในการจัดการด้านความสัมพันธ์กับทั้งสหรัฐฯ และจีน เพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น หันไปเพิ่มบทบาทในเวทีโลกโดยใช้อาเซียนเพิ่มอำนาจต่อรอง


นอกจากนั้น คาดว่าเฟดจะทยอยปรับลดดอกเบี้ยตามทิศทางเงินเฟ้อที่ลดลง นักลงทุนจะลดความสนใจในเงินดอลลาร์ลง เงินบาทน่าจะแตะระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ สหรัฐฯในปลายปี 2025 ส่วนการส่งออก คาดว่านอกจากจะชะลอตัวและกดดันการลงทุนภาคเอกชนให้เติบโตช้าลงแล้ว ความต้องการในประเทศจะอ่อนแอตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลงด้วย โดยเฉพาะข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้ภาคการเกษตรทั่วประเทศ รวมทั้งครัวเรือนที่มีรายได้น้อยในพื้นที่ชนบท


ด้าน นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด 


หาก 'โดนัลด์ ทรัมป์' ตัวแทนจาก 'พรรครีพับลิกัน' ได้เป็นประธานาธิบดี

สำหรับมุมมองความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นไทยต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯนั้น ทิสโก้คาดว่ากรณีทรัมป์ชนะ คาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับขึ้นทันที จากนโยบายลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 15% ซึ่งมีการประเมินว่าจะช่วยเพิ่มกำไรของบริษัทใน S&P 500 ประมาณ 4%


ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้นเอเชีย กรณีทรัมป์ชนะ นโยบายขึ้นภาษีนำเข้า (60% กับจีน, 10% กับประเทศทั่วไป) อาจไม่เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นเอเชีย เนื่องจากราคาสินค้านำเข้าของสหรัฐฯจะสูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปรับลดดอกเบี้ยลงน้อยกว่าที่คาด


หาก 'กมลา แฮร์ริส' ตัวแทนจาก 'เดโมแครต' ได้เป็นประธานาธิบดี

การเสนอเพิ่มภาษีนิติบุคคลเป็น 28% ส่งผลลบต่อกำไรของบริษัทใน S&P 500 ประมาณ-5% ถึง -8% เมื่อรวมผลจากนโยบายด้านภาษีอื่น ๆ 


ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้นเอเชีย อาจคลายความกังวลเรื่องภาษีนำเข้า ส่งผลบวกต่อบรรยากาศการลงทุนในเอเชีย



รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/YOq1Hvic6c8

คุณอาจสนใจ

Related News