นายกฯ ชูแนวคิดเชื่อมโยงสมาชิกเอเปค ผลักดันเศรษฐกิจสีเขียวเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม เพื่อผลประโยชน์ปชช.

นายกรัฐมนตรี ชูแนวคิดเชื่อมโยงสมาชิกเอเปค เพื่อผลประโยชน์ประชาชน ในก่อนการปิดฉากการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเชีย แปซิฟิค หรือ เอเปคพร้อมผลักดันการทำความตกลงเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก และเร่งเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม


การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเชึยแปซิฟิค หรือ เอเปค ปิดฉากลงเป็นที่เรียบร้อย ที่กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้ นำเสนอ 3 แนวคิดหลัก ต่อที่ประชุม


โดยแนวคิดแรก "การมุ่งสร้างโอกาสสำหรับทุกคน" โดยรัฐบาลไทยกำลังพิจารณานำ "Negative Income Tax" ซึ่งเป็นระบบฐานข้อมูลที่จะช่วยให้คนที่อยู่ในประเทศไทย ทั้งที่เสียภาษีและไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี มาอยู่ในระบบฐานข้อมูลเพื่อจัดสรรประโยชน์จากรัฐ ที่เป็นธรรมมากที่สุดและสำหรับสมาชิก เอเปค เห็นว่าควรเพิ่มความเชื่อมโยงทางกายภาพ และโครงสร้างพื้นฐาน ด้านดิจิทัลในภูมิภาค เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการติดต่อสื่อสารระหว่างประชาชนได้โดยง่าย และควรจัดทำสิทธิพิเศษเป็นบัตรเดินทาง สำหรับนักธุรกิจเอเปค ในประเทศสมาชิกเพื่อสนับสนุนให้เกิดการเดินทางค้าขายระหว่างกันมากขึ้น


แนวคิดที่ 2 การเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ โดยผลักดันการทำความตกลงเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก ให้เป็นรูปธรรม เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนทางการค้าร่วมกัน และจะเสริมสร้างขีดความสามารถในประเทศสมาชิกได้


และแนวคิดที่ 3 เร่งการเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว หรือการทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามเป้าหมายที่เคยประชุมร่วมกันที่กรุงเทพหรือ " BCG " ที่เป็นการผสมผสานการพัฒนา 3 ด้านหลัก คือ เศรษฐกิจชีวภาพ Bio Economy เศรษฐกิจหมุนเวียน Circular Economy และเศรษฐกิจสีเขียว Green Economy และขอให้ เอเปค เป็นผู้นำในการกำหนดเป้าหมายที่สำคัญในการเปลี่ยน ไปสู่ BCG เพื่อ "สร้างอนาคตที่ยั่งยืน" ร่วมกันได้


ทั้งนี้ ที่ประชุมรับรองเอกสารผลลัพธ์ 3 ฉบับ ได้แก่ ปฏิญญาผู้นาเขตเศรษฐกิจเอเปค , ถ้อยแถลงอิชมา ว่าด้วยมุมมองใหม่ในการขับเคลื่อนเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก และแผนงานลิมา เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจในระบบและเศรษฐกิจโลกของเอเปค นายกรัฐมนตรี เชื่อว่าการประชุมในครั้งนี้ จะทำให้เอเปค ใกล้บรรลุผลในการทำงานร่วมกันมากขึ้น และจะเฝ้ารอความคืบหน้าต่างๆในการประชุม เอเปคครั้งต่อไป ที่สาธารณรัฐเกาหลี จะเป็นเจ้าภาพประชุม


หลังเสร็จสิ้นภารกิจ นายกรัฐมนตรี เดินทางกลับประเทศไทย โดยจะเดินทางถึงประเทศไทยในวันที่ 18 พฤศจิกายน เวลาประมาณ 11.00 น.