ต่างประเทศ
ประชุมสุดยอด “ทรัมป์-ปูติน” 3 ชั่วโมง ยังไม่ได้ข้อสรุปเพื่อยุติสงครามยูเครนโดยทันที
โดย paranee_s
16 ส.ค. 2568
93 views
ประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียที่รัฐอะแลสก้า เมื่อวานนี้เสร็จสิ้นแล้ว แม้จะไม่ได้ข้อสรุปเพื่อยุติสงครามยูเครนโดยทันที แต่ประธานาธิบดีปูตินเชื่อว่า เป็นจุดเริ่มต้นของการยุติความขัดแย้งกับยูเครนและฟื้นฟูความสัมพันธ์สหรัฐฯ-รัสเซีย
ซึ่งการพบปะของผู้นำสองชาติมหาอำนาจนี้เป็นที่จับตาไปทั่วโลก นี่เป็นการพบปะโดยตรงของประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีปูตินครั้งแรกในรอบ 6 ปี การประชุมจัดขึ้นที่ฐานทัพร่วมเอล์มดอร์ฟ-ริชาร์ดสัน เมืองแองเคอเรจ รัฐอลาสกา ซึ่งเป็นฐานทัพอากาศในยุคสงครามเย็น
ประธานาธิบดีทรัมป์เดินทางมาถึงก่อนโดยเครื่องแอร์ฟอร์ซ วัน เครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากนั้นก็มายืนรอประธานาธิบดีปูติน อยู่ที่พรมแดงบนลานจอด ทันที่ที่ประธานาธิบดีปูตินเดินทางมาถึงก็จับมือทักทายกัน จากนั้นเดินไปถ่ายภาพร่วมกัน โดยมีฉากหลังเป็นเครื่องบิน F-22
ในระหว่างที่ทรัมป์และปูตินกำลังจะเดินไปบันทึกภาพ สหรัฐฯเจ้าภาพจัดงานยังได้ตระเตรียมฝูงเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน B-2 มาจัดแสดงให้การต้อนรับด้วย
หลังจากบันทึกภาพร่วมกันโดยมีป้ายภาษาอังกฤษว่า "อะแลสกา 2025" อยู่ด้านหน้า ประธานาธิบดีทรัมป์และปูติน ได้ขึ้นรถยนต์คันเดียวกันไปประชุมที่ฐานทัพอากาศเอล์มดอร์ฟ-ริชาร์ดสัน
สำนักข่าวต่างประเทศสามารถบันทึกภาพบรรยากาศขณะที่สองผู้นำนั่งอยู่ในรถ จะเห็นว่า ประธานาธิบดีปูตินหัวเราะระหว่างพูดคุย ขณะที่ใบหน้าของทรัมป์ก็ยิ้มแย้ม ภาพที่เห็นนี้สร้างความหวังให้กับหลายๆ คนที่คาดหวังว่า การเจรจาครั้งนี้จะประสบความคืบหน้า สามารถช่วยยุติสงครามยูเครนที่ดำเนินมา 3 ปี 6 เดือนได้
รายงานระบุว่า การประชุมครั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ซึ่งฝ่ายรัสเซียมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้าร่วมประชุมด้วยได้แก่นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศ และนายยูริ อูชาคอฟ ผู้ช่วยทำเนียบรัฐบาล ขณะที่ฝ่ายสหรัฐฯเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เข้าร่วมด้วยมีนายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศ และนายสตีฟ วิตคอฟฟ์ ทูตพิเศษของสหรัฐฯ เป็นการเจรจาแบบสามต่อสาม
มีรายงานว่า ระหว่างที่ผู้นำกำลังเจรจากัน ผู้สื่อข่าวได้ตะโกนถามประธานาธิบดีปูตินไปว่า เขาจะให้คำมั่นสัญญาว่า จะไม่สังหารพลเรือนเพิ่มได้หรือไม่ ซึ่งผู้นำทั้งสองไม่ได้ให้คำแถลงหรือตอบคำถามใด ๆ แต่มีท่าทางของประธานาธิบดีปูตินเอามือป้องปากใส่นักข่าว แต่ไม่มีรายงานว่า เขาพูดอะไร หรือสื่อความหมายอะไร
ก่อนที่การเจรจาจะเริ่มขึ้นสื่อต่าง ๆ รายงานว่า การเจรจาครั้งนี้ผู้นำสหรัฐฯ จะผลักดันให้มีการยุติสงครามยูเครน และมีแนวโน้มว่า สหรัฐฯและรัสเซียอาจพูดคุยในเรื่องข้อตกลงควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ด้วย แต่นักวิเคราะห์ชี้ว่า โอกาสที่จะยุติสงครามยูเครนโดยเร็ววันน้อยมาก เนื่องจากประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการเจรจา
และก็เป็นไปตามคาด การเจรจาสิ้นสุดลงโดยที่ไม่ได้มีข้อตกลงใด ๆ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้แถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า ยังไม่มีข้อตกลงใด ๆ และเขาจะติดต่อกลับไปยังนาโต้และผู้นำยูเครน
ขณะที่ประธานาธิบดีปูติน แถลงเป็นภาษารัสเซียว่า เขาหวังว่า การเจรจาครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการยุติความขัดแย้งในยูเครนและฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรมระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯต่อไป
ปูตินกล่าวว่า ทั้งสองประเทศมีศักยภาพมหาศาลในการสร้างความร่วมมือทางธุรกิจและการลงทุนในด้านต่างๆ เช่น พลังงาน เทคโนโลยี การสำรวจอวกาศ และในอาร์กติก สุดท้ายก็คาดหวังว่า การเดินหน้าตามเส้นทางนี้ จะช่วยนำไปสู่จุดสิ้นสุดของความขัดแย้งในยูเครนได้โดยเร็ว
หลังจากนั้นทรัมป์ได้กล่าวขอบคุณ และหวังว่าจะได้พบกันอีกในเร็ว ๆ นี้ ประธานาธิบดีปูติน ก็เชิญชวนเป็นภาษาอังกฤษโดยทันที่ว่า ให้ไปพบกันที่มอสโก
หลังจากที่ผู้นำทั้งสองต่างแยกย้ายกันเดินทางกลับไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นทรัมป์ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟอกซ์ นิวส์ต่อ และบอกว่า เขาให้คะแนนการประชุมครั้งนี้เต็มสิบเลย และยังกล่าวด้วยว่าจะรีบจัดการประชุม 3 ฝ่ายซึ่งครั้งนี้จะเชิญประธานาธิบดีเซเลนสกี้ ของยูเครนเข้าร่วมด้วย ทรัมป์ยังบอกด้วยว่า เซเลนสกี้ควรรีบทำข้อตกลง เนื่องจากรัสเซียเป็นชาติมหาอำนาจ แต่ยูเครนไม่ใช่ ตอนนี้ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับผู้นำยูเครนแล้ว
สื่อต่างประเทศรายงานว่า ทรัมป์พยายามกดดันให้สงครามยูเครนที่ดำเนินมา 3 ปี 6 เดือนยุติโดยเร็ว และหากทำสำเร็จก็จะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวทรัมป์ในฐานะผู้สร้างสันติภาพระดับโลกที่คู่ควรกับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
และสำหรับประธานาธิบดีปูติน การประชุมสุดยอดในครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นเสียด้วยซ้ำ เพราะเขาสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อยืนยันว่า ความพยายามหลายปีของชาติตะวันตกที่ต้องการโดดเดี่ยวรัสเซียได้พังทลายลงแล้ว และรัสเซียสามารถกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจา และเป็นการเจรจากับประธานาธิบดีทรัมป์แบบตัวต่อตัวโดยไม่มียูเครน
ทั้งนี้ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวเป็นนัยก่อนการประชุมว่า การยุติสงครามอาจต้องมีการแลกเปลี่ยนดินแดนบางส่วน ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมากสำหรับยูเครน ที่เสียพื้นที่บางส่วนให้กับกองกำลังรัสเซีย หลังจากการสู้รบที่ดุเดือดมาสามปีครึ่ง ในขณะที่ชาติยุโรปก็มีควากังวลในเรื่องนี้ เพราะหากรัสเซียเข้ายึดครองบางส่วนของยูเครน ชาติพันธมิตรนาโต้ที่อยู่ใกล้รัสเซีย เช่น โปแลนด์ เอสโตเนีย ลิทัวเนีย และลัตเวีย ก็จะตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงในอนาคตได้
แท็กที่เกี่ยวข้อง