“บิ๊กเต่า” เผยวัดพระบาทน้ำพุ มีความผิดปกติ คำให้การ “หมอบี” หมิ่นเหม่แง่กฎหมาย

ภายหลังใช้เวลาประชุมประมาณ 1 ชั่วโมง เวลา 14.30 น. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหลังจากการประชุมคดีระหว่างหมอบี ทูตสื่อวิญญาณและวัดพระบาทน้ำพุแล้วเสร็จ

โดยระบุว่า วันนี้ได้ประชุมร่วมกันระหว่าง 3 หน่วยงาน ได้ข้อสรุปว่า คดีดังกล่าวมีความคืบหน้าไปมากแล้วในส่วนของกองบังคับการปราบปราม แต่ยังมีข้อมูลบางส่วนที่ยังไม่ชัดเจน ขอให้ทางตำรวจดำเนินการตรวจสอบและสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติม

โดยตอนนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่า จะต้องนิมนต์พระราชวิสุทธิประชานาถ หรือ หลวงพ่ออลงกต เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ มาสอบปากคำภายในสัปดาห์นี้หรือสัปดาห์หน้าหรือไม่ เพราะยังอยู่ในระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน แต่ยอมรับว่าการจะไปสอบปากคำใคร ต้องมีพยานหลักฐานและข้อมูลในระดับหนึ่ง จึงจะเรียกสอบปากคำได้ โดยตอนนี้ทางตำรวจมีข้อมูลรายรับรายจ่ายของวัดบางส่วนอยู่ในมือแล้ว ซึ่งทางตำรวจจะดำเนินการตรวจสอบในหลาย ๆ มิติพร้อมกัน ทั้งเรื่องคดีหมอบีและปัญหาที่เกิดขึ้นภายในวัด

ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า คำให้การของหมอบีแสดงให้เห็นถึงความทุจริตภายในวัดหรือภายในมูลนิธิหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า เมื่อวิเคราะห์ตามพยานหลักฐานแล้ว ถือว่าหมิ่นเหม่ในข้อกฎหมาย แต่ยังไม่อยากให้พูดฟันธงว่าเป็นการทุจริตหรือฉ้อโกงประชาชน เพราะข้อมูลที่เห็นตามหน้าสื่อค่อนข้างหมิ่นเหม่ ไม่รู้ว่าอันไหนจริงหรือไม่จริง แต่ทางตำรวจมีข้อมูลที่ตรวจสอบไปได้ไกลแล้ว

ผู้สื่อข่าวจึงสอบถามต่อไปว่า หมอบีได้ให้การตั้งข้อสังเกตความผิดปกติภายในวัดหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า หมอบีให้การที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี แต่พอผู้สื่อข่าวสอบถามว่า ให้การในประเด็นใดบ้าง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ตอบว่าไม่สามารถระบุได้ เพราะเป็นเรื่องในสำนวนคดี ส่วนผู้บริจาครายใหญ่หรือรายประจำของวัด ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าทางตำรวจกองปราบปรามสอบปากคำไปแล้วหรือยัง แต่ทราบว่าสอบปากคำไปได้ประมาณ 10-20 ปาก

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยังกล่าวต่อไปว่า หลังจากนี้กองบังคับการปราบปรามจะเป็นเจ้าภาพดำเนินคดีทั้งหมด ทั้งเรื่องของคดีหมอบีและเรื่องของวัดพระบาทน้ำพุ เพราะกองบังคับการปราบปรามมีอำนาจที่จะทำได้ทุกคดีอยู่แล้ว โดย บก.ปปป. จะทำหน้าที่ให้การสนับสนุนและช่วยดูแลข้อมูลต่าง ๆ ให้กับกองบังคับการปราบปรามดำเนินคดีดังกล่าว และในส่วน ป.ป.ท. จะช่วยให้ความคิดเห็นและตรวจสอบพยานหลักฐานเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยอมรับว่า ภาพรวมของคดีในส่วนของวัดพระบาทน้ำพุนั้น พบความผิดปกติเกิดขึ้นจริง แต่จะเกิดขึ้นกับวัดหรือกับมูลนิธินั้น ขอให้ทางตำรวจตรวจสอบข้อมูลทุกมิติก่อน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังของวัดพระบาทน้ำพุถึง 30 ปี ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมูลนิธิช่วยเหลือผู้ป่วย HIV และเปิดรับบริจาค ซึ่งตำรวจตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ HIV รุนแรง วัดเปิดรับบริจาคเป็นจำนวนมาก แต่ในระยะหลังที่มียารักษา HIV สถานการณ์การแพร่ระบาดก็ลดลง แต่เงินที่รับบริจาคเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการตั้งกองทุนกับมูลนิธิจำนวนมาก และการเปิดช่องทางบริจาคทางออนไลน์

นั่นจึงทำให้ตำรวจต้องตรวจสอบว่า เงินจำนวนดังกล่าวถูกใช้ไปทำอะไร เพราะเป็นเรื่องผิดปกติที่วัดมีรายได้มหาศาลและฝากทรัพย์สินไปที่บุคคลรอบข้างหลายคน การที่หลวงพ่ออลงกตทำความดีก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่เงินบริจาคที่ไหลไปช่องทางอื่นนั้นก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง เราต้องทบทวนหาข้อเท็จจริงให้ได้ว่า ในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น

สำหรับกรณีที่ทางวัดมีการตั้งมูลนิธิและกองทุนต่าง ๆ มากมาย จะเป็นการอำพรางคดีหรืออำพรางการเงินหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เผยว่า การจะแก้ไขอะไรในเวลา 20-30 ปี เป็นเรื่องที่ยาก ต่อให้แก้ไขก็แก้ไขไม่หมด ส่วนข้อมูลของเจ้าหน้าที่พยาบาลที่โดนไล่ออกจากโรงพยาบาลของวัดพระบาทน้ำพุ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เผยว่า ข้อมูลที่ตำรวจมี ล้ำหน้าไปมากกว่านั้นแล้ว

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า พยานหลักฐานที่มีอยู่ในขณะนี้ จะสามารถไปถึงขั้นการออกหมายเรียกหรือออกหมายจับได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยอมรับว่า ขณะนี้ยังมีพยานหลักฐานจำนวนมากที่ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนและยังไม่ตอบโจทย์ หากยังตอบโจทย์ไม่ได้ ก็ต้องชะลอไปก่อน เราต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน เป็นประจักษ์ ไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดหรือคลุมเครือ รวมทั้งต้องมีข้อมูลครบทุกมิติ ขอให้ประชาชนสบายใจได้ ตอนนี้เราทำงานบูรณาการร่วมกัน ทั้งกองบังคับการปราบปราม บก.ปปป. และ ป.ป.ท. อีกไม่นานคดีนี้จะมีความชัดเจน

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า วัดและมูลนิธิยังสามารถเปิดรับบริจาคได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ยังสามารถเปิดรับบริจาคและทำงานได้ตามปกติ ควบคู่ไปกับทางตำรวจก็ดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามปกติ