เลือกตั้งและการเมือง
“รัฐบาลไทย” ประณาม “กองทัพกัมพูชา” ลอบวางทุ่นระเบิดในเขตแดนไทย เปิดฉากยิง-โจมตีพลเรือน
โดย paranee_s
24 ก.ค. 2568
141 views
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ตามที่เมื่อวานนี้กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดการบรรยายสรุปกับคณะทูตเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทยกัมพูชา และได้ส่งหนังสือสองฉบับ คือ 1. หนังสือจากฝ่ายกัมพูชาเพื่อประท้วงเกี่ยวกับเหตุการณ์ไทยเหยียบกับระเบิดเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 และ 2. ถึงเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรญี่ปุ่นประจำการประชุมว่าด้วยการลดอาวุธ ในฐานะประธานการประชุมภาคีอนุสัญญาออตตาว่า รายงานการละเมิดพันธสัญญาของกัมพูชา
จากหนังสือทั้งสองฉบับ รัฐบาลขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่ง ที่เหตุการณ์ความรุนแรงและเกิดขึ้นอีกครั้ง ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ล่าสุดช่วงเช้าวันนี้วันที่ 24 กัมพูชาได้เปิดฉากยิงเข้ามาบริเวณตรงข้ามฐานปฏิบัติการของไทยปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์อีกครั้ง อีกทั้งได้ยิง BM21 หนึ่งเข้ามาในพื้นที่ชุมชน ภายในศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ 3 ราย และขณะนี้เหตุการณ์โจมตีที่ไม่ใช่เป้าหมายทางการทหารยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะในพื้นที่โรงพยาบาลพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ และสถานที่ต่างๆ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บอีกหลายราย
และช่วงเย็นเมื่อวานนี้ ทหารไทยได้เหยียบกับระเบิดระหว่างการลาดตระเวน พื้นที่ช่องอานม้าอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บเพิ่มเติม 5 นาย โดยหนึ่งนายได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการสูญเสียขาขวา
ทั้งนี้จากการตรวจสอบเบื้องต้น โดยกองทัพภาค 2 คาดว่า เป็นทุ่นระเบิดที่เพิ่งถูกมานำมาใหม่ เป็นเหตุการณ์ซ้ำซ้อน และเกิดขึ้นภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ จากกรณีที่ทหารไทยอีกชุดหนึ่งประสบเหตุในพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี
ดังนั้น ตนเองจะขออ่านแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ “รัฐบาลไทย” ขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการกระทำของกองทัพกัมพูชา ที่ละเมิดอธิปไตยของไทย และกฎหมายระหว่างประเทศ ต่อเหตุการณ์ที่ฝั่งกัมพูชาลอบเข้ามาวางกับระเบิดในดินแดนไทย และเป็นผลให้ทหารไทย ได้รับบาดเจ็บเมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม 2568 และได้เปิดฉากยิงเข้ามาบริเวณตรงข้ามทางปฏิบัติการของไทยในช่วงเช้าของวันนี้วันที่ 24 กรกฎาคม และได้โจมตีอย่างรุนแรง และต่อเนื่องในพื้นที่ฝั่งไทยตลอดเช้านี้ รวมถึงเป้าหมายพื้นที่ที่เป็นพลเรือน โดยเฉพาะโรงพยาบาล จนเป็นเหตุให้ประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิต
ดังนั้นเมื่อความร้ายแรงดังกล่าว จากการที่กัมพูชาจงใจมีการกระทำเป็นปฏิบัติอย่างชัดเจนต่อประเทศไทย และรัฐบาลไทยจึงตัดสินใจ “ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต” และเรียกเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ กลับประเทศ และขอให้เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย กลับประเทศเช่นกัน
และรัฐบาลไทยเรียกร้องให้กัมพูชายุติการกระทำที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงซ้ำๆ ซึ่งเป็นการขัดต่อหลักการความไม่เป็นพื้นบ้านที่ดี และความสุจริตใจ อีกทั้งยังเป็นการทำลายชื่อเสียง และความน่าเชื่อถือของกัมพูชาในประชาคมโลก
รัฐบาลไทย เรียกร้องให้กัมพูชารับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและยุติการโจมตีเป้าหมายทางทหาร และพลเรือน รวมทั้งยุติการละเมิดอธิปไตยของไทยโดยทันที โดยรัฐบาลไทย “พร้อมที่จะยกระดับมาตรการป้องกันตนเอง” หากกัมพูชายังไม่ยุติการกระทำที่เป็นการโจมตีทางอาวุธ และละเมิดอธิปไตยของไทยตามหลักสากล และกฎหมายระหว่างประเทศ
และในช่วงบ่ายวันนี้ จะมีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ประชุมจะพิจารณามาตรการ และแนวทางการดำเนินการในขั้นถัดไปของฝ่ายไทยอย่างรอบด้าน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมทำงานอย่างมีเอกภาพ และดำเนินการไปพร้อมกันในด้านความมั่นคง การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน ตลอดจนมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน
ในช่วงเวลาที่มีสถานการณ์ละเอียดอ่อน การสื่อสารในสังคม รวมถึงการสื่อสารทางออนไลน์ อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิด และสร้างความแตกแยกโดยไม่ตั้งใจ ทางกระทรวงขอให้สังคมเชื่อมั่นในเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือฝ่ายความมั่นคง เพื่อความสามัคคีของคนในชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
บางช่วง ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า ไทยยังย้ำจุดยืนอยู่ไหมในการยึดจุดยืนการเจรจาหารือทวิภาคี นายนิกรเดช บอกว่า ตอนนี้หลักการดังกล่าวจะถูกนำเข้าไปพิจารณาการประชุมสภาความมั่นคงบ่ายนี้ ตอนนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้
ส่วนประเด็นที่สังคมทั้งคำถามถึงท่าทีของไทย ว่าทำไมเราต้องดำเนินการตามกฎระเบียบ ในขณะที่กัมพูชาคิดจะทำอะไรก็ได้นั้น นายนิกรเดช บอกว่า เป็นประเทศที่อยู่ภายใต้ยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศ ธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างประเทศ กฎระเบียบสหประชาชาติ และกฎของอาเซียน นั่นเป็นเหตุให้ไทยได้ใช้ความอดทนอดกลั้นถึงจุดนี้ วันนี้เราก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม แต่เราได้ป้องกันตนเอง ซึ่งได้ดำเนินการอย่างสมเหตุสมผล เพื่อป้องกันอธิปไตยของชาติ และปกป้องคนไทย
เมื่อสอบถามว่า ในกรณีที่เกิดขึ้น น่าจะทราบกันทั้งประชาคมอาเซียน และทั่วโลกแล้ว ในขณะนี้มีประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน ได้มีความพยายามที่จะช่วยคลี่คลายปัญหาตรงนี้หรือไม่นั้น นายนิกรเดช บอกว่า ยังไม่มี จากที่เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ที่มีการปัญหาการเกิดขึ้น ในชั้นนี้ยังไม่ได้มีการเรียกร้อง หรือขอร้องจากประเทศในอาเซียนใดๆ ก็ตามที่จะเข้ามาขอมีบทบาท
บางช่วงนายนิกรเดช ได้ตอบคำถามสื่อ ถึงแนวทางการดำเนินการความสัมพันธ์ทางการทูตว่าหากจะมีการยกระดับจะเป็นอย่างไรต่อนั้น นายนิกรเดช ระบุว่าในการดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูต เราสามารถลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ในวันนี้เราได้เริ่มดำเนินการมาตรการที่เรียกทูตไทยกลับประเทศ และได้ขอให้ฝ่ายกัมพูชา เรียกทูตกลับ อาจเป็นมาตรการลดระดับทางการทูต ซึ่งก็อยากเปิดช่องให้ข้าราชการที่เป็นนักการทูตยังมีช่องทางในการหารือได้อยู่ รวมถึงการดูแลคนไทยที่อยู่ที่กัมพูชา
เมื่อตัดความสัมพันธ์ การทูตช่องทางในการพูดคุยติดต่อ และลดแรงกดดันที่อยู่ระหว่างสองฝ่าย จะถูกปิดประตูออกไป ทำให้การเจรจาหาจุดร่วม หรือให้มีความสงบเกิดขึ้น เป็นไปได้ยาก
ซึ่งตัวเลข คนไทยที่กัมพูชา เคยมีอยู่ประมาณ 1000 คน แต่ตอนนี้ส่วนหนึ่งได้กลับไปแล้ว ทางสถานเอกอัครราชทูตกำลังเช็กตัวเลขล่าสุดอยู่ ก็เป็นหลักหลาย 100 คน
ขณะที่ทางท่านรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ อยู่ที่นิวยอร์ก ได้พบกับประธานของคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งได้พบกับประธาน และประธานเดือนหน้า ซึ่งก็คือปากีสถานและปานามา ที่เป็นประธานเดือนหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แล้ววันนี้ท่านก็จะพบกับเลขาธิการสหประชาชาติ รวมถึงผู้แทนประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น รัสเซีย และประเทศอื่นๆ
กระทรวงดำเนินการอย่างเต็มที่ ไม่ใช่เฉพาะนิวยอร์ก การดำเนินการยื่นหนังสือไปที่ออตตาว่า คอนเวนชั่น และเอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรของไทยประจำองค์การสหประชาชาติ ที่นครเจนีวา ท่านทูตทุกท่านได้รับแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อปกป้องอธิปไตย และผลประโยชน์ของไทยในเวทีโลกพร้อม ๆ กัน เพราะฉะนั้นการดำเนินการของเราไม่ได้อยู่แค่เวทีสหประชาชาติ ระหว่างประเทศที่เรามีความสนิทสนมด้วยทั้งหมด
แท็กที่เกี่ยวข้อง