สังคม
สพฐ.เตรียมส่งนิติกรช่วย “ครูสาว” ร้องถูกชี้มูลผิด หลังมีลายเซ็นในเอกสารเบิกจ่ายค่าอาหารกลางวัน ยันอดีต ผอ. ทุจริตคนเดียว
โดย paranee_s
5 ก.ค. 2568
744 views
จากกรณีครูสาว โพสต์เฟซบุ๊ก “#ต้องให้ครูไทยตายเพราะการเป็นเจ้าหน้าที่การเงินอีกกี่คน? เมื่อปี พ.ศ. 2555 ข้าพเจ้าเป็นครู คศ.1 ที่ไม่มีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการเงินหรือระเบียบพัสดุเลย แต่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ การเงินของโรงเรียน ตามคำสั่ง แต่ในทางปฏิบัติ ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้เซ็นชื่อร่วมกับผู้อำนวยการในใบเบิกถอนเงินของโรงเรียนเท่านั้น เอกสารการเงินอื่น ๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเลย
ในตอนนั้น ข้าพเจ้าเข้าใจเพียงแค่ว่า “เจ้าหน้าที่การเงิน” คือมีหน้าที่เซ็นชื่อ แล้วกระบวนการอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการไปถอนเงินที่ธนาคาร หรือการจ่ายเงินให้ช่างและร้านค้า ผู้อำนวยการเป็นคนดำเนินการทั้งหมด ข้าพเจ้าไม่เคยถือเงินหรือบัญชีโรงเรียน และไม่ได้เป็นผู้ใช้จ่ายเงินโรงเรียนแต่อย่างใด
จนกระทั่ง สพป.กจ.4 เข้ามาตรวจสอบภายใน (เพราะผู้อำนวยการโรงเรียนถูกร้องเรียนเรื่องการทุจริตเงินอาหารกลางวัน) จนนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และพบความผิดปกติจากการเบิกเงิน (โดยไม่มีชุดจัดซื้อ) จากบัญชีเงินอุดหนุน
การสอบสวนเกิดขึ้นหลายครั้ง และในระดับจังหวัด นายชนะพงษ์ สาระ อดีตผู้อำนวยการโรงเรียน ยอมรับว่านำเงินไปใช้ผิดประเภทจริง และยินยอมชดใช้เงินคืนโรงเรียนบ้านหนองย่างช้าง จำนวนสามแสนกว่าบาท
ต่อมาผู้อำนวยการถูกย้ายไปช่วยราชการ และปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในสังกัด สพป.นครปฐม เขต 1 ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเรื่องจบแล้ว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าอีก
แต่เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังไปรายงานตัว เนื่องจากย้ายไปเป็นครูที่โรงเรียนอีกแห่งหนึ่ง ป.ป.ช. โทรให้ข้าพเจ้าไปพบเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ที่โรงเรียนแห่งแรก
เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. จังหวัดสุพรรณบุรี ได้สอบถามเกี่ยวกับการจ่ายเงินค่าอาหารของโรงเรียน ข้าพเจ้าตอบว่า “ใช้เช็คค่ะ” และตอบว่า “สมัยผอ.ชนะพงษ์ ใช้ใบแดงถอนค่ะ” (หมายถึงใบเบิกเงินของธนาคาร) จากนั้นพูดคุยอีกเล็กน้อย แล้วข้าพเจ้าก็กลับมาสอนที่โรงเรียนช
ผ่านไปอีกสักระยะ ป.ป.ช. เข้ามาสอบสวนข้าพเจ้าที่โรงเรียนอีกรอบ โดยนำสำเนาใบเบิกเงินมาให้ดู แล้วถามว่าใช่ลายเซ็นของข้าพเจ้าหรือไม่ ข้าพเจ้าตอบว่า “ใช่” และได้เล่าให้ ป.ป.ช. ฟังว่า การทำหน้าที่เจ้าหน้าที่การเงินในตอนนั้น ข้าพเจ้าแค่เซ็นชื่อร่วมกับผู้อำนวยการเท่านั้น ส่วนการเบิกจ่ายเงินเป็นผู้อำนวยการทำคนเดียวทั้งหมด
ต่อมา ต้นเดือนมีนาคม มีจดหมายจาก ป.ป.ช. ให้ข้าพเจ้าไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 13 มีนาคม 2566 ว่าข้าพเจ้าร่วมกับนายชนะพงษ์ สาระ ทำผิดกฎหมายหลายมาตรา (ซึ่งข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่ามีอะไรบ้าง) เป็นจำนวนเงินสามแสนกว่าบาท ซึ่งเป็นยอดเงินที่ผู้อำนวยการรับผิดชอบและชดใช้คืนโรงเรียนไปแล้ว
แต่ข้าพเจ้ากลับกลายเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่า “#ร่วมกับผู้อำนวยการโกงเงินโรงเรียน” ป.ป.ช. ให้ข้าพเจ้าทำหนังสือชี้แจงและหาหลักฐานมา ข้าพเจ้าไม่ได้ทำเอกสารอะไรเลย แค่เซ็นชื่อร่วมกับผู้อำนวยการเท่านั้น จึงชี้แจงความจริงเป็นบันทึกข้อความส่งไปยัง ป.ป.ช. สุพรรณบุรี
หลังจากนั้น ปี 2566 มีการสอบสวนข้าพเจ้าอีกครั้ง ใช้สถานที่สำนักงานเขต สพป.กจ.4 ข้าพเจ้าเข้าใจว่าตัวเองไม่ผิด และน่าจะเป็นเพียงพยานในคดีของผู้อำนวยการ จนกระทั่งวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ข้าพเจ้าได้รับหนังสือจากเขต แจ้งว่าข้าพเจ้าถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดว่า ร่วมกับนายชนะพงษ์ สาระ โกงเงินโรงเรียน ตั้งแต่เมื่อ 13 ปีที่แล้ว โดยมีความผิดวินัยร้ายแรง มีโทษ “ปลดออก” หรือ “ไล่ออก” ภายใน 30 วัน ก่อนสิ้นเดือนนี้
ข้าพเจ้ายอมรับความผิดแค่เรื่องเดียว คือ “เซ็นชื่อจริง” แต่ข้าพเจ้าทำไป เพราะความไม่รู้ ไม่มีประสบการณ์ และทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเท่านั้น โดยคิดว่าในตอนนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง โดยไม่ทราบข้อกฎหมาย ข้าพเจ้ารู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม เพราะข้าพเจ้า ไม่เคยถือเงินหรือใช้จ่ายเงินโรงเรียนเลย แม้แต่บาทเดียว ข้าพเจ้าต้องตกเป็นเหยื่อของคนที่ได้ชื่อว่า “ผู้บริหารโรงเรียน”
#ข้าพเจ้าไม่มีเงินจ้างทนายมาสู้คดี เพราะทุกวันนี้ก็ทำงานเป็นครูเพียงอย่างเดียว ส่งเสียลูกสองคน สามีไม่มีอาชีพ เป็นพ่อบ้านแทน ข้าพเจ้ายังต้องส่งเสียพ่อแม่อีก เพราะข้าพเจ้าเป็น เสาหลักของครอบครัว ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงอยาก ทวงคืนความยุติธรรม ให้กับข้าพเจ้าด้วย
ต่อมา ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยว่า ตามที่มีรายงานข่าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ กรณีข้าราชการครูผู้รับผิดชอบงานการเงินของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ได้ร้องขอความเป็นธรรมภายหลังถูกชี้มูลความผิดร่วมกับอดีตผู้อำนวยการโรงเรียน จากการลงนามในเอกสารเบิกจ่ายค่าอาหารกลางวัน โดยยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดนั้น
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาต้นสังกัด และยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งลงโทษทางวินัยออกโดยเขตพื้นที่ฯ แต่อย่างใด สำหรับการดำเนินการในขั้นต่อไป สพฐ. ได้จัดเตรียมนิติกรจากส่วนกลาง เพื่อสนับสนุนการให้คำปรึกษาทางกฎหมายและการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ครูสามารถใช้สิทธิในการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ตามมาตรา 99 แห่งพระราชบัญญัติ ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 ได้อย่างเต็มที่
เลขาธิการ กพฐ. ระบุว่า กรณีนี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ต้องทบทวนบทบาทภาระงานของครูในภารกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน โดยเฉพาะงานด้านการเงินและพัสดุ ซึ่งมีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงเชิงกฎหมายสูง สพฐ. จึงอยู่ระหว่างการปรับปรุงระบบสนับสนุนภายในโรงเรียน เพื่อให้โครงสร้างงานสนับสนุนมีความเหมาะสมกับวิชาชีพครูมากยิ่งขึ้น โดยย้ำ ข้าราชการครูที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตจะไม่ต้องเผชิญกระบวนการตามลำพัง สพฐ. พร้อมอยู่เคียงข้างและสนับสนุนในทุกขั้นตอน เพื่อให้สามารถใช้สิทธิและเข้าถึงความเป็นธรรมได้อย่างมั่นใจ
แท็กที่เกี่ยวข้อง