สังคม

โรงเรียนเรียกรับเงินบริจาคสร้างโดม 2 พันบาท แต่แม่ไม่มีเงินให้ สุดท้ายลูกชายไม่ได้เข้าเรียน

โดย gamonthip_s

5 พ.ย. 2567

1.6K views

จากกรณีที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์รายละเอียดการพาลูกชายไปเข้าโรงเรียน ในโรงเรียนเทศบาลแห่งหนึ่ง แต่ถูกครูเรียกรับเงินบริจาคสร้างโดมของโรงเรียน 2,000 บาท แต่แม่ยังไม่มีจ่าย ลูกชายจึงเข้าเรียนไม่ได้ ในเพจเฟซบุ๊ก ขอนแก่น ร้องเรียนอะไรบอกไว้ที่นี่ โดยโพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ในโซเชียลอย่างแพร่หลาย ซึ่งโพสต์ระบุว่า เป็นวันที่เสียใจมาก ร้องไห้ขับมอไซค์จะกลับมาตั้งหลักอยู่บ้าน ตั้งแต่แต่หน้ารร. ขับมาเรื่อยจนหมดแรงจะไปต่อเลยจอดรถตั้งสติข้างทาง ถ้าวินาทีนั้นลูกบ่นั่งมานำคงขับลงข้างทางให้มันตายไปส้ะ นั่งคิดทบทวนหลายอย่าง เลยเรียกลูกขึ้นรถขับต่อทั้งน้ำตาจนมาถึงบ้าน มันตันมันเหนื่อยมากคิดอะไรไม่ออกเลย เข้มแข็งมาทั้งชีวิตดิ้นรนมาคนเดียว แต่วันนี้มันอ่อนแอที่สุดเลย



ตั้งแต่ลูกปิดเทอมขอทำเรื่องย้าย รร.ให้ลูก หา รร.สมัครให้ลูกคือเลือกจะให้กลับเรียน รร.เดิมเพราะรถโดยสารผ่านสะดวก ส่งเอกสารอยู่ 5 รอบ ที่รร. เพราะขาดใบรับรองผลการเรียน เลยติดต่อรร.ประจำที่ลูกเรียนเทอมแรก เพราะการย้ายเทอม 2 ทั้งที่ไม่จบภาคเรียนจะยุ่งยาก จึงติดต่อรร.ประจำ รร.บอกขอลายเซ็น ผอ.รร.ที่ลูกจะย้ายไปเรียน กะได้เสียเวลาไปขอ บ่แม่นของ่ายเด้อ ช่วงครูรร.เขาปิดเทอมพอดีได้แล้วกะวิ่งกลับเอาลายเซ็นไปส่ง ขอใบรับรองผลการเรียนคือ นร.จะย้ายออกให้ก่อนกะบ่ ยืนยันคำเดียวจะแจ้งผลการเรียนพร้อมใบในวันเปิดภาคเรียนของรร.เท่านั้นคือวันที่ 3 พ.ย. ก็เลยไปเอาไปกะยุ่งยากต้องได้วิ่งตามลายเซ็นครูตั้ง 10 คนนักเรียนถึงจะย้ายออกได้ เมื่อวันที่ 3 ตรงกับวันอาทิตย์ก็วิ่งเอกสารทั้งวันจนได้ครบทุกลายเซ็น เอกสารบ่ครบอีกต้องให้ผู้ปกครองกลับไปเอาเอกสารลายเซ็นกำนัน หรือผู้ใหญ่บ้านอีก วุ่นวายคัก เลยขอครูว่าจะส่งเอกสารกำนัน ผู้ใหญ่บ้านทีหลัง นี่ไม่ใช่ครูเสนอนะ กลายเป็นผู้ปกครองเองเสนอไปให้ครูเห็นใจ เพราะกลัวลูกไม่มีที่เรียน รร.เขาก็เปิดเทอมเรียนกันหมดแล้ว



พอได้ใบผลการเรียนลูกก็ดีใจชื่นใจมาว่าเอาไปยื่นรร.แล้ว คงได้เรียนเลยเพราะ ผอ.รร.เซ็นยอมรับนักเรียนเข้าเรียนแล้ว เตรียมตัวเรียบร้อยเด้อ ลูกใส่ชุดนักเรียนเอาสมุดปากกาสะพายกระเป๋าไปพร้อม เพราะยื่นใบมอบตัวแล้วลูกจะได้ขึ้นห้องเรียนเลยนะ ตื่นเช้าไปรอส่งใบรอผอ.แต่เช้า ตามที่ผอ.แนะนำก่อนหน้า ถามครูที่รร.ก็ว่าเดี๋ยวผอ.ยังไม่มาแต่เดี๋ยวก็เข้ามา นั่งรอ 4 ชม.เต็ม มีครูอีกคนเดินมาขอตรวจเอกสารอีกรอบ แล้วสักพักก็มีครูอีกคนเรียกไปคุยในห้องสอบสัมภาษณ์ถามว่า ทำไมถึงย้ายมา แต่ครูคนนี้ก็รู้จักลูกอยู่ครูก็ถามๆไป แล้วจบที่คำว่า #คุณแม่คะถ้าจะให้ลูกแม่เรียนแม่ต้องเสียเงินบริจาคให้โรงเรียนนะ #แม่เลยตอบว่าค่ะต้องบริจาคเท่าไร เงินแม่ก็ไม่มีทำไมโรงเรียนก็ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าว่าต้องได้เสีย (**อ๋อพอดีทางรร.จะสร้างโดมคะเลยเรียกขอบริจาค**) #คำว่าบริจาคเนาะ ก็จะแล้วแต่ศรัทธา ตั้งในความคิดเราเองเงินหมดตัวก็มีแค่ 500 เลยบอกครูไปว่าแม่บริจาค 300 นะคะ สีหน้าครูคือเปลี่ยนถอนหายใจเลยจ้าคือทำหน้าอึ้งพร้อมพูดว่า อะไรคะแม่คนอื่นเขาบริจาคอย่างต่ำ 3-5 พันบาท แต่แม่ 300 ไม่ได้นะคะ เราหน้าเสียเลยอึ้งไปพักเลยบอกครูว่าตอนนี้แม่ยังไม่มีเงินค่ะ งั้นแม่ขอบริจาค 2,000 บาทได้ไหม แต่แม่ขอจ่ายวันที่ 15 พ.ย. เดือนนี้ ด้านครูก็บอกได้งั้นแม่เซ็นยืนยันนะ และครูก็เขียนวันที่พร้อมจ่ายแล้วก็ให้แม่เซ็นชื่อยืนยันไปแล้ว


ครูเดินเอาเอกสารไป แล้วกลับออกมาพูดว่า คุณแม่ไม่ได้นะคะต้องจ่ายวันนี้เท่านั้น งั้นถ้าวันนี้แม่ไม่มีค่อยมาจ่ายวันที่ 15 หรือวันไหนที่มีลูกแม่ค่อยเอาน้องมาเรียนพร้อมวันที่จ่ายค่ะ เราจุกพูดอะไรไม่ออกเลย น้ำตาแตกในทันที มองหน้าลูกก็สงสาร ซึ่งลูกก็งงคิดว่าแม่เรียกจะได้ไปเรียนกับเพื่อนๆเเล้ว แต่พอแม่บอกว่ากลับบ้านครับ ลูกก็คำถามเลยว่าทำไม คือเด็กไม่เข้าใจ (ไม่ได้เสียดายเงิน 2,000 แต่ก่อนส่งลูกเรียนประถมค่าเทอมเกือบสองหมื่นยังมีปัญญา แต่ตอนนี้ไม่มีเงิน แถมเรื่องบริจาคก็เพิ่งรู้มันไม่ได้เตรียมอะไรเลย รร.ก็ไม่สงสารเด็กอนุโลมไปก่อนให้ลูกได้เรียนไปก่อนถ้าวันที่ 15 นี้แม่ไม่จ่ายจะไล่ออกเราจะยังไม่เสียใจ เสียความรู้สึกมากเลย) ลูกก็ต้องรอเงินแม่มีถึงจะได้เรียน แม่ต้องพาลูกไปสมัครเรียนที่รร.ใหม่ 


ล่าสุดเมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ผู้สื่อข่าวติดต่อผู้โพสต์ดังกล่าว ชื่อ นางสาวเอ (นามสมมุติ) มารดาของ ด.ช.บี (นามสมมุติ) อายุ 13 ปี เปิดเผยว่า เนื่องจากตนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ทำงาน หาเงินเลี้ยงลูกชายเพียงลำพัง ทำงานเป็นหางเครื่อง จึงทำงานไม่เป็นเวลา ลูกชายเคยเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้มาจนถึง ม.1 แต่ตนไม่มีเวลาดูแลลูก บ้านต้องเช่า ข้าวต้องซื้อ จึงต้องการย้ายลูกไปอยู่โรงเรียนประจำ ที่มีครูดูแลในโรงเรียน ซึ่งที่ผ่านมาลูกชายเป็นนักเรียนที่เรียนดีมาตลอด ขณะเรียนที่โรงเรียนเทศบาลวัดกลาง ได้เกรดเฉลี่ย 3.44 จากนั้นย้ายไปเรียน ม.1 ที่โรงเรียนประจำ จนถึงม.2 เทอมแรก ก็เรียนได้เกรดเฉลี่ย 3.66 ขณะนี้พอมีเงินซื้อบ้าน มีบ้านให้ลูกอยู่ จึงต้องการย้ายลูกมาเรียนที่โรงเรียนเทศบาล จึงเข้าไปพูดคุยกับผู้อำนวยการเรียน เพื่อพาลูกเข้ามาเรียน ม.2 ในเทอมที่ 2 ผอ.โรงเรียนเทศบาลวัดกลาง บอกว่า ให้นำใบรับรองผลการเรียนจากโรงเรียนเดิมมาให้แล้วพาลูกมาเรียนได้เลย ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ



ซึ่งวันจันทร์ที่ 4 พ.ย. จึงพาลูกไปที่โรงเรียนเทศบาล เพื่อนำส่งใบรับรองผลการเรียนให้ ผอ.โรงเรียนน แต่ ผอ.ไม่อยู่ จึงนั่งรอประม่าณ 3-4 ชั่วโมง ก็มีคุณครูมาแจ้งให้ไปนั่งรอที่ห้องพักใกล้ๆกับห้องธุรการ จากนั้นมีครูผู้ชายเข้ามาพูดคุยด้วย และบอกว่านำลูกมาเข้าเรียน ต้องบริจาคเงินช่วยโรงเรียน เพื่อสมทบสร้างโดมของโรงเรียนด้วย จึงแจ้งว่ามีเงินติดตัว 500 บาท จะขอบริจาค 300 บาท ครูผู้ชายแสดงสีหน้าที่ดูเหมือนไม่ประทับใจ พร้อมกับพูดว่า ผู้ปกครองนักเรียนรายอื่นๆ บริจาคคนละ 3,000-5,000 บาท จึงได้บอกครูไปว่า ขอเวลาทำงานเก็บเงินก่อน ไม่เกินวันที่ 15 พ.ย น่าจะมีเงินมาบริจาคให้ 2,000 บาท ครูรายดังกล่าวจึงให้เซ็นเอกสารยืนยันการบริจาค พร้อมกับบอกว่า เมื่อมีเงินครบ 2,000 บาทมาบริจาค ค่อยพาลูกมาเข้าเรียน



นางสาวเอ กล่าวอีกว่า โดยส่วนตัวก็พอจะทราบว่า การบริจาคเงินช่วยสร้างสิ่งต่างๆ ในโรงเรียนนั้นเป็นเรื่องปกติ ที่ผู้ปกครองนักเรียนยินดีที่จะร่วมสมทบในการก่อสร้าง แต่การสมทบหรือบริจาคก็ตามกำลังศรัทธา ไม่ใช่การบังคับเหมือนที่ตนเจอ ตนจึงอาการเครียด เพราะโรงเรียนเปิดเทอมมาแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ เกรงว่าลูกจะเรียนไม่ทันเพื่อน เมื่อพาลูกมาเรียนก็ไม่สามารถเข้าเรียนได้ เพราะไม่มีเงินบริจาค จึงได้พาลูกกลับบ้าน สงสารลูก สงสารตัวเองที่ไม่มีเงินบริจาค จนลูกไม่ได้เรียน เมื่อกลับถึงบ้านจึงตั้งสติ พาลูกไปสมัครเรียนที่โรงเรียนแห่งใหม่ ซึ่งทางผอ.และคณะครูก็รับลูกชายเข้าเรียนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และในวันที่ 6 พ.ย 2567 ลูกชายก็จะได้เข้าเรียนเป็นวันแรก



ซึ่งโรงเรียนดังกล่าว ได้เรียกไปพบ และพูดคุยทำความเข้าใจกันที่โรงเรียน จึงเข้าไปคุยด้วย จากการพูดคุย ผอ.ยังยืนยันว่า สามารถนำลูกมาเข้าเรียนได้ ไม่มีปัญหา และไม่มีค่าใช่จ่าย แต่ก็มีครูบางคน บอกว่า ถ้าให้ลูกชายเข้าเรียน ต้องบอกลูกชายให้รับแรงกดดันจากเพื่อนจากครูผู้สอนให้ได้ด้วย เพราะเกิดปัญหาแล้ว มันจะมีแรงกดดันตามมา จึงตัดสินใจไม่ให้ลูกเข้าเรียนที่โรงเรียนเทศบาลดังกล่าว โดยพาลูกไปสมัครเรียนที่โรงเรียนเทศบาลแห่งใหม่ ทำให้ลูกชายมีที่เรียนเป็นที่เรียบร้อย อยากฝากถึงผู้บริหาร และผู้เกี่ยวข้องกับสถานศึกษาว่า การที่โรงเรียนจกสร้างสิ่งใด รับบริจาคเงินมาทำอะไรนั้น ควรจะมีการแจ้งการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ปกครองนักเรียนทราบด้วย ไม่ใช่มัดมือชกหรือบังคับบริจาคแบบที่ตนเจอ



ขณะที่น้องบี อายุ13 ปี (นามสมมุติ) กล่าวว่า อยู่ในเหตุการณ์ที่ครูพูดคุยกับแม่ตลอด จึงรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เข้าเรียน เพราะตั้งใจไว้ว่า อยากเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ เพราะเคยเรียนมาแล้ว แต่ไม่ได้เรียนเพราะไม่ได้บริจาคเงินตามที่ครูต้องการ กระทั่งแม่พาไปสมัครเรียนที่โรงเรียนอื่น และโรงเรียนก็รับเข้าเรียนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะตั้งใจเรียนให้จบ และจะเรียนต่อจนได้เป็นครูตามที่ฝันไว้



ในขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวได้พยายามประสานกับทางโรงเรียน และทางเทศบาลนครขอนแก่น เพื่อให้ชี้แจงในกรณีดังกล่าว แต่ได้รับแจ้งจากทางเทศบาลนครขอนแก่นว่า ผอ.โรงเรียนได้พูดคุยทำความเข้าใจกับผู้ปกครองแล้ว จึงไม่สะดวกจะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เพราะเกรงจะทำให้นักเรียนเสียหาย และอยู่ในระหว่างที่คณะผู้บริหารเทศบาลนครขอนแก่นกำลังหารือกันในการที่จะชี้แจงในกรณีดังกล่าว โดยยืนยันว่า เทศบาลนครขอนแก่น ไม่ได้นิ่งนอนใจ ผู้บริหารสถานศึกษา จะสอบสวนข้อเท็จจริง และจะทำหนังสือชี้แจงต่อพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนให้ทราบโดยเร็ว



ขณะที่มีคลิปการสนทนาระหว่างผู้ปกครองเด็ก ครู และ ผอ.โรงเรียน ได้พูดถึงเรื่องการปฏิเสธ ที่จะไม่รับเด็กเข้าเรียน พร้อมกับต่อว่าผู้ปกครองที่นำเรื่องราวทั้งหมดไปโพสต์ในโลกโชเชียล ซึ่งมีบางช่วงบางตอน ได้มีการปฏิเสธถึงการรับเงินบริจาค พร้อมชี้แจงให้ผู้ปกครองฟังว่าการบริจาคเงินนั้น เป็นการสมัครใจของผู้ปกครองเอง ไม่มีการบังคับ โดยมีการยกตัวอย่างว่า เคยมีผู้ปกครองมาฝากลูกเข้าเรียนระหว่างปี แล้วบริจาคเงินช่วยสร้างโดมของโรงเรียนด้วยความสมัครใจ ในราคาบริจาคไม่ถึง 3,000-4,000 บาท แล้วผู้ปกครองก็บอกทาง ผอ.โรงเรียน ไปว่า คุณครูให้มีการเซ็นชื่อด้วย ทาง ผอ.โรงเรียน ตอบกลับ จะเซ็นอะไรยังไงก็ช่าง อำนาจสูงสุด อยู่ที่ ผอ.โรงเรียน รับเด็กนักเรียนแล้วคือจบ และอยากขอให้ทางผู้ปกครองลบโพสต์ทั้งหมดออกจากโลกโซเชียล เพราะเสื่อมเสียไปทั้งโรงเรียน

คุณอาจสนใจ