ผู้การสืบนครบาล เดินหน้าทลายขบวนการทรชน ขอเวลาสาวถึงตัวการใหญ่

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตํารวจนครบาล เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับกลุ่มขบวนการทรชนไล่ยิงนักศึกษาต่างสถาบัน ว่าล่าสุดผู้ต้องหาคนที่ 9 ที่ยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา และเกิดอาการช็อกส่งเข้าโรงพยาบาลเมื่อวานนี้ ได้นำตัวมาแจ้งข้อกล่าวหาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนคนร้ายคนที่เหลือ อยู่ในระหว่างการไล่ล่าจับกุม แต่กล่าวได้ว่าทั้ง 9 คนที่จับกุมได้ มีส่วนพัวพันกับคดียิงครูเจี๊ยบและน้องหยอด ท้องที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ทั้งหมด


ทั้งนี้แม้คนเหล่านี้จะยังคงไม่ให้การใด ๆ ที่เป็นประโยชน์ในชั้นพนักงานสอบสวน แต่ข้อมูลที่ให้ในชั้นสืบสวนค่อนข้างเป็นประโยชน์และสามารถที่จะได้พยานหลักฐานถึงตัวผู้ลงมือก่อเหตุคดีครูเจี๊ยบได้ แม้พยานหลักฐานในที่เกิดเหตุอาจจะไม่เพียงพอก็ตาม ส่วนพยานหลักฐานต่าง ๆ โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ ต้องให้เป็นหน้าที่ของชุดสืบสวนก่อนว่าจะสามารถเชื่อมโยงถึงขบวนการองค์กรอาชญากรรมหรือไม่ จึงต้องให้เวลาชุดสืบสวนทำงานสักระยะก่อน


ส่วนกรณีที่เพื่อนผู้ก่อเหตุอ้างกับสื่อมวลชนที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ว่าเพื่อนของตนเป็นแพะ และมีพยานหลักฐานพร้อมต่อสู้คดีในชั้นศาลนั้น ทางตำรวจเชื่อมั่นในพยานหลักฐานที่มีเพียงพอจนสามารถขอหมายค้นบ้านเซฟเฮ้าส์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุ อีกทั้งผู้ต้องหาก็มีหมายจับของศาล ทางเพื่อนผู้ก่อเหตุจะว่ากล่าวอันใดก็เป็นสิทธิของเขา แต่ก็ระวังตัวเอาไว้ให้ดีแล้วกัน เพราะทางตำรวจจะต้องตรวจสอบต่อไปว่า คนที่พูดจาท้าทายคนดังกล่าวเกี่ยวข้องกับขบวนการนี้ด้วยหรือไม่ เบื้องต้นกล่าวเป็นนัย ๆ ว่า อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับคดียิงในงานแต่งที่สุทธิสารเมื่อปี 2565


ส่วนพฤติกรรมของกลุ่มคนที่มองว่าเป็น “ผี” หรือนักศึกษาที่เรียนไม่จบหรือถูกเชิญออก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่พวกนี้ก็ยังคงมาวนเวียนครอบงำรุ่นน้อง สร้างโลกเสมือนจริงเพื่อปลูกฝังค่านิยมที่ผิด ๆ เช่น เอารุ่นน้องมาเป็นชุดไล่ล่าหรือเป็นมือปืน ถือเป็นลักษณะการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งตอนนี้การทำงานของตำรวจเน้นย้ำว่า ต้องทลายขบวนการนี้ให้หมดสิ้นไป ไม่จับแค่ผู้ก่อเหตุ ผู้ขับขี่ยานพาหนะ แต่หมายรวมถึงผู้ให้การช่วยเหลือทั้งหมด ตอนนี้ตำรวจมีข้อมูลการข่าวว่า กลุ่มผีเล่านี้มีหนังสือปลูกฝังสอนรุ่นน้องในทำนองว่า “ถ้าตำรวจสอบ ให้บอกว่า ไม่รู้ ไม่ทราบ ไม่เห็น ไม่ให้ความร่วมมือ” จึงไม่แปลกใจที่มีการสอนรุ่นน้องในลักษณะนี้ นอกจากนี้ในปฏิบัติการดังกล่าว ยังพบสมุดบัญชีการเงินของคนทั้งองค์กร ที่มาบริหารจัดการและซื้ออาวุธปืน ทำให้เห็นเลยว่าใครให้การสนับสนุนขบวนการนี้และถือว่ามีความผิดทุกราย


ส่วนที่มาของคำว่า “พวกผี” นั้น จริง ๆ ตนก็เพิ่งได้ยินคำศัพท์นี้มากจากรุ่นพี่ศิษย์เก่าที่ให้ความช่วยเหลือและส่งเบาะแสข้อมูลมาให้ว่า มีกลุ่มคนพวกนี้เอาชื่อสถาบันไปแอบอ้างกระทำความผิด พร้อมกับเห็นว่าสืบนครบาลเอาจริง จนสามารถได้ข้อมูลเอาผิดผู้กระทำความผิดในขบวนการนี้ได้ ซึ่งพวกศิษย์เก่าดี ๆ ยังมาขอบคุณตนที่พยายามแยกสถาบันที่พวกเขารักออกจากการกระทำความผิดของคนกลุ่มนี้ ซึ่งตนก็ต้องขอขอบคุณศิษย์เก่าและประชาชนที่ส่งเบาะแสให้ความร่วมมือและจะปกปิดเป็นความลับให้


ด้านวิธีการเข้ามาครอบงำรุ่นน้อง พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่า ขบวนการเหล่านี้มีมากกว่าสิบปีแล้ว ปลูกฝังกันรุ่นต่อรุ่นจนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ผิดเพี้ยน และมีกฎว่า ต้องปกปิดหัวหน้ากลุ่มตัวใหญ่ จึงต้องใช้เวลาในการสืบสวนตัวการใหญ่สักระยะ วันนี้ตนจึงต้องมากระชากหน้ากากคนพวกนี้ ไม่ใช่เป็นพวกนักศึกษาอีกแล้ว ต้องใช้มาตรการทางอาญาอย่างเด็ดขาด อย่าไปเมตตาคนพวกนี้ และยืนยันว่าชุดสืบสวนจะทำงานอย่างเต็มที่อย่างแน่นอน การกวาดล้างครั้งนี้คือการกระชากหน้ากาก ทำให้เรื่องที่ถูกซ่อนใต้ดินมายาวนานถูกขุดขึ้นมาพูดอีกครั้ง ถือว่าเป็นทิศทางที่ดีที่จะทำให้ความจริงปรากฎและสังคมปลอดภัยสงบสุขได้


พล.ต.ต.ธีรเดช มองอีกว่า ถ้าเด็กนักศึกษามีภูมิคุ้มกันปลูกฝังจากครอบครัวหรือครูผู้ปกครอง ก็จะมีความเข้มแข็งที่ไม่ให้ค่านิยมเหล่านี้หลุดมาครอบงำ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตำรวจเองก็ต้องมีความเข้มแข็งที่จะต้องทำงานเชิงรุก เข้าไปช่วยผู้ปกครองและสถานศึกษาในการเฝ้าระวัง ถ้าตำรวจปราบอย่างจริงจัง เชื่อว่าจะทำให้การก่อเหตุลักษณะนี้ลดลง อย่างไรก็ตามก่อนปฏิบัติการครั้งนี้ ได้เชิญชุดสืบสวนที่มีความชำนาญมาวิเคราะห์ข้อมูลและวางแผนแนวทางการกวาดล้าง ซึ่งต้องใช้เวลาที่ชัดเจนจนสามารถจับกุมพวกนี้ได้ ชนิดที่ว่าตำรวจจะไม่เสียเหลี่ยมตกเป็นจำเลยและไม่ถูกทนายความฟ้องดำเนินคดีกลับอย่างแน่นอน