สังคม

ต้มจนเปื่อย! ผู้เสียหายช้ำถูกโจรแฝงตัวหลอกซื้อรถ โอนเงินเข้าบัญชีม้าหลักล้านแล้วชิ่งหนี

โดย JitrarutP

10 ต.ค. 2566

461 views

วันที่ 10 ต.ค. 66 รายการโหนกระแสพูดคุยกรณี กลุ่มผู้เสียหายถูกมิจฉาชีพ หลอกเป็นนายหน้าซื้อรถ หลอกให้โอนเงินเข้าบัญชีม้า หลายรายสูญเงินล้าน สุดท้ายถูกเชิดหนี คุณป้อม หนึ่งในผู้เสียหายเล่าว่า น้องสาวของตนโพสต์ขายรถเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 65 โพสต์ขาย Honda CR-V ราคา 999,000 บาท ผ่านทางเฟซบุ๊ก ต่อมา 7 ก.ค.65 มีคนทักมาถามรายละเอียดเรื่องรถ ใช้ชื่อเฟซบุ๊กว่า กร แต่พอแอดไลน์มาคุยเพิ่มเติม กลับเป็นชื่อ เมฆอาหารทะเล

โดยชายคนนี้บอกว่าตนเป็นคนติดต่อแทนเพื่อน ตกลงราคากันที่ราคา 950,000 บาท เขาขอค่านายหน้า 30,000 บาท เงินจะถึงมือเรา 920,000 บาท น้องสาวของคุณป้อมบอกว่า เขาตกลงซื้อง่ายมาก จนกลัวจะเป็นมิจฉาชีพ จึงให้คุณป้อมมาช่วยดู

ต่อมานายเมฆบอกว่า เดี๋ยวพ่อเพื่อนจะเป็นคนเข้าไปซื้อ เข้าไปดูรถ แต่พอถึงเวลานัดหมาย มีชายอีกคนมาเป็นชายอายุประมาณ 40 ปี คิดว่าไม่น่าใช่พ่อ นายเมฆบอกว่าคนนี้คือ นายเอ๊าะ ตัวแทนของพ่อเพื่อน ส่งมาทำสัญญาแทน

ระหว่างที่นายเอ๊าะมาดูรถ ก็มีการโทรศัพท์ให้เราได้ยินตลอดว่าโทรคุยกับนายเมฆ บอกว่ารถสวย เจอกันแล้ว ต่างๆ นานา แต่มาเอะใจตอนทำสัญญา เห็นราคาในสัญญาเป็นราคา 750,000 บาท จึงสอบถามกับน้องสาวว่าทำไมเป็นราคานี้ น้องสาวบอกว่า นายเมฆให้แจ้งผู้ซื้อว่าซื้อขายราคานี้ กลัวว่าพ่อเพื่อนเห็นราคา 9 แสนกว่าแล้วจะเห็นว่าแพงไปแล้วไม่ซื้อ ให้ทำสัญญาแค่ 750,000 แล้วส่วนต่าง 2 แสนกว่าบาท นายเมฆกับนายเอ๊าะจะเป็นคนโอนเอง โดยไม่ได้โอนเข้าบัญชีเจ้าของรถ แต่ให้โอนเงินไปที่บัญชีชื่อ ศิริพร อ้างว่าเป็นบัญชีของนายหน้า ที่จะรวมค่าใช้จ่ายทุกอย่างเป็นก้อนเดียว แล้วจะโอนมาให้เจ้าของรถทีเดียว

แต่ปรากฏว่าพอโอนอะไรไปเรียบร้อย นายเมฆออกจากไลน์ไปเลย ทำให้น้องสาวรู้ตัวว่าถูกมิจฉาชีพหลอกแล้ว แต่ตอนนั้นยังคิดว่านายเอ๊าะก็เป็นเหยื่อเหมือนกัน นายเอ๊าะโอนเงินไปเข้าบัญชีชื่อศิริพรแล้ว แต่พอนายเอ๊าะโทรไปหาเบอร์คนชื่อศิริพร กลับบอกว่าไม่มีเงินเข้ามา ตนจึงให้นายเอ๊าะไปแจ้งความที่โรงพัก ซึ่งในเคสของคุณป้อมและน้องสาว ไม่ได้ยกรถให้คู่กรณีไป

ขณะที่นายเบียร์ ผู้เสียหายอีกคนเล่าว่า ขาย Honda Civic ในราคา 639,000 บาท โพสต์ขายในเฟซบุ๊กเหมือนกัน มีคนใช้ชื่อ Papong ทักมาสนใจจะซื้อ ก่อนจะแอดไลน์มา ชื่อ โตรับเหมาก่อสร้าง สอบถามว่ารถผ่อนหมดหรือยัง คุณเบียร์ยืนยันว่ารถเป็นชื่อตน ปลอดภาระแล้ว ถ่ายหน้าเล่มที่เป็นชื่อตนไปให้เขาดู

ต่อมาตกลงกันว่า จะซื้อขายกันในราคา 630,000 บาท โดยคุณเบียร์ได้เงิน 600,000 บาท ส่วน 30,000 บาท นายโตขอเป็นค่านายหน้า แต่นายโตมาเตี๊ยมกับคุณเบียร์ว่า ไม่ให้เพื่อนรู้ ให้บอกไปว่าขายในราคา 6 แสนถ้วน และให้อ้างกับนายนิปว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับนายโตด้วย

ต่อมานายโตขอโลเคชันบ้าน ไปให้คนซื้อรถ เพื่อที่จะเข้ามาดูรถ แล้วมีคนชื่อนิป เป็นผู้ชายมาดูรถที่บ้าน มากับพ่อของเขา ทดลองขับในหมู่บ้าน ดูเลขไมล์ต่างๆ ระหว่างที่มาดูรถ นายโตก็โทรหาทั้งตน และโทรหาทั้งนิปด้วย โทรสลับไปสลับมาตลอดเวลา

พอถึงเวลาจะมาทำสัญญา ทางคุณนิปเอาเล่มโอนออกมา ดูไม่ใช่เป็นคนธรรมดามาซื้อรถ เดาว่าเขาเป็นเต็นท์รถมือสอง เพราะมีหนังสือโอนเป็นเล่มมาเลย แล้วราคาที่ตกลงว่า 6 แสน ในสัญญากลับระบุว่า 510,000 บาท โดยในสัญญามีหมายเหตุด้วยว่า ต้องโอนเงินไปในบัญชีชื่อ อรรถพล (บัญชีม้า)

เมื่อคุณเบียร์ไปสอบถามนายโต อ้างว่าเป็นสัญญาหลอกผู้ใหญ่ที่มากับนิป เดี๋ยวเรามาทำสัญญาจริงกันทีหลัง แล้วเงินทั้งหมด 6 แสน จะโอนกลับมาให้คุณเบียร์ทีหลัง แต่พอคุณนิปโอนเงินเสร็จเรียบร้อย เซ็นสัญญากันเรียบร้อย แล้วคุณเบียร์ก็เลยส่งสลิปของคุณนิป และถ่ายสัญญาส่งให้นายโตไป เขาบอกว่า เดี๋ยวจัดการให้ แล้วเงียบไป ไม่ได้โอนเงินมาให้คุณเบียร์แต่อย่างใด

พอคุณนิปจะขอถ่ายรูปส่งมอบรถ คุณเบียร์จึงบอกไปว่าตนยังไม่ได้เงินเลย ทำให้นิปงงว่าเงินอะไร ในเมื่อตนโอนไปแล้ว สุดท้ายมาคุยความจริงกันถึงรู้ว่าทั้งสองฝ่ายน่าจะโดนนายโตหลอก นายนิปโทรไปอายัดบัญชีปลายทางให้ แต่ไม่ทัน เงินออกจากบัญชีไปแล้ว คุณนิปแจ้งว่ายังไงก็ต้องเอารถกลับ เพราะโอนเงินไปแล้ว ทำสัญญาเสร็จสรรพแล้วด้วย

ขณะที่คุณนิปโฟนอินเข้ามาเล่าในมุมของตัวเองว่า ตนทำเต็นท์รถมือสอง นายโตเอารถมาเสนอขาย ในราคาถูกมาก นายโตอ้างว่าเป็นเจ้าของรถเอง แต่ตัวเองทำงานอยู่ สปป.ลาว ออกรถเองไม่ได้ จึงให้น้องชาย(คุณเบียร์) เป็นคนออกรถ มีชื่อเป็นเจ้าของรถ ตนก็ไปดูรถ ไปลองรถ ตามขั้นตอนทุกอย่าง ตอนที่ตกลงกันเรียบร้อย กำลังจะโอนเงิน ก็เลยถามนายโตว่า ให้โอนเงินไปที่

ขณะที่คุณนัท ขายรถฟอร์จูนเนอร์ เป็นรถพร้อมทะเบียน ราคา 1.2 ล้านบาท มีคนชื่อน็อตติดต่อมาขอซื้อรถ รอบแรกขอซื้อราคา 1 ล้านถ้วน ไม่เอาทะเบียน แต่คุณนัทไม่ยอม เขาจึงกลับมาใหม่อีกรอบ บอกว่าเดี๋ยวจะซื้อในราคา 1.15 ล้านบาท โดยมีคนชื่อวิทยาเป็นคนมาซื้อ จะซื้อรถให้ลูก

นายน็อตอ้างว่า นายวิทยาจะซื้อรถในราคา 1 ล้านบาท ส่วนน็อตจะซื้อทะเบียนไว้เอง 1.5 แสนบาท ให้ทำสัญญาแยกเป็น 2 ฉบับ แต่ให้เขาโอนเงินเข้าไปที่บัญชีของบุคคลที่สาม แล้วเดี๋ยวเขาจะโอนเงินกลับมาที่คุณนัทเองเป็นก้อนเดียว 1.15 ล้านบาท สุดท้ายมารู้ทีหลังว่าโดนหลอกแบบเดียวกัน นายวิทยาที่มาซื้อรถ เป็นเต็นท์รถ มากับลูกน้อง ไม่ใช่ลูกชายอย่างที่นายน็อตโกหก

สุดท้ายพอเกิดเป็นคดี คุณนัทไปขอยื้อไว้ ไม่ยอมส่งมอบรถ ขอให้ตำรวจอายัดไว้เป็นของกลาง แต่คุณวิทยาที่เป็นเต็นท์รถบอกว่า ตนโอนเงินไปแล้ว ยังไงก็ต้องได้รถ ถ้าไม่ได้จะแจ้งความกลับ สุดท้ายคุณนัทประเมินแล้วถ้ายิ่งยื้อก็ยิ่งลำบาก ก็เลยยอมปล่อยรถไป

ขณะที่กิตติเจษฎ์ นายหน้าที่พาคุณวิทยาไปซื้อรถในวันดังกล่าวยืนยันว่า มีการถามย้ำหลายรอบ ตอนที่จะโอนเงิน ว่าให้โอนไปที่ไหน เพราะโดยปกติเวลาซื้อขายรถ จะไม่โอนเงินเข้าบัญชีคนอื่นที่ชื่อไม่ตรงกับเจ้าของรถเด็ดขาด แต่นี่เจ้าของรถพูดเองว่าให้โอนเลย เป็นพี่น้องกัน แต่พอโอนไปแล้ว 2 oาที เขามาบอกว่าเงินไม่เข้า ตนก็รวบทุกอย่างไปที่โรงพักเลย

ยืนยันว่าตนทำธุรกิจ จ่ายเงินไป ก็ต้องได้รถมา ถามว่านายน็อตมาหลอกสองฝ่ายหรือไม่ อันนี้อยู่ที่ว่าเจ้าของรถเขาไปตกลงอะไรกันกับนายน็อต เพราะตนจ่ายเงินไ ได้รถมา ก็ถือว่าจบ ตนไม่ใช่ผู้เสียหายด้วยซ้ำ และคงไม่ใช่หน้าที่ ที่ตนจะไปติดตามเอาเงินคืนมาให้ใคร แต่ถ้าตำรวจอยากได้ข้อมูลอะไร ตนก็ยินดีไปให้ข้อมูลทุกครั้ง

ขณะที่ทนายแก้วชี้ว่ากรณีนี้ ถ้าจะเอาผิดมิจฉาชีพที่แฝงตัวมาเป็นตัวกลางหลอกทั้งคนซื้อคนขาย อันนี้ต้องเอาผิดฐานฉ้อโกง แต่ในส่วนของคนซื้อ ถ้าเขาไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิด ถ้าเขาจ่ายเงินจริง ซื้อจริง เขาก็ต้องได้รถไป ถือว่าสัญญามันสมบูรณ์แล้ว เรื่องนี้ต้องไปติดตามเอาผิดกับมิจฉาชีพ ไล่ตามจากบัญชีม้าขยายผลไปให้ถึงผู้ก่อเหตุให้ได้

คุณอาจสนใจ

Related News