เศรษฐกิจ

เปิดกลโกงคนละครึ่ง ใช้ความรู้วิศวะโกงเงินรัฐ ก่อนโป๊ะแตกถูกจับ อยู่คนละจังหวัด แต่แสกนกันได้

โดย

19 ธ.ค. 2563

6.1K views

ตำรวจประเดิมจับขบวนการทุจริต เงินโครงการคนละครึ่งจับ โดยผู้ต้องหาตั้งตัวเป็นโบกเกอร์หาลูกค้าป้อนร้านโชว์ห่วย ที่สมุทรสาคร แต่โป๊ะแตกถูกจับได้ เพราะลูกค้าอยู่ไกลถึงเชียงใหม่ สอบสวนสารภาพใช้ความรู้วิศวะโกงเงินรัฐ

ตำรวจจับ 4 ผู้ต้องหา ทุจริตในโครงการคนละครึ่ง โดยมีลักษณะวิธีการทุจริต 2 รูปแบบ รูปแบบแรก ร้านค้าคนละครึ่งที่รับแลกเงินสด มีการโอนเงินให้กับประชาชนที่ใช้แอปพลิเคชั่นเป๋าตัง (สิทธิคนละครึ่ง) โดยตรงผ่านทาง mobile banking / ATM และ เงินสด ซึ่งรูปแบบนี้ไม่ได้มีการซื้อ-ขายสินค้าจริงแต่ไปรับเงินโดยตรง

ส่วนรูปแบบที่ 2 ลักษณะเป็นเจ้ามือ ประชาชนที่ต้องการแลกเงินมีการให้ข้อมูลการ Login เข้าแอปพลิเคชั่น เป๋าตังแก่ร้านค้าเพื่อใช้สิทธิคนละครึ่งแทน โดยวิธีนี้ร้านค้าจะหาลูกค้าผ่านทางช่องทางออนไลน์ เช่น ไลน์ เฟซบุ๊ก เป็นต้น ซึ่งหากมีประชาชนสนใจมีการตกลงแบ่งผลประโยชน์ โดยจะกระทำการเสมือนมีการค้าขายแต่ไม่มี โดยผู้ต้องหาจะแสดงตนเป็นทั้งร้านค้า และ ประชาชนผู้ใช้สิทธิ์ กรณีนี้ตำรวจได้สืบสวนจากข้อมูลพบว่าที่อยู่ร้านค้าและผู้ใช้สิทธิอยู่ต่างภูมิลำเนา คนละจังหวัด ทั้งเชียงใหม่ สงขลา ฯลฯ

พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ขณะนี้ได้แจ้งข้อหาผู้ต้องหาทั้ง 4 คนแล้ว ในข้อหาฉ้อโกง และข้อหาฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น พร้อมเรียกสอบปากคำประชาชน 14 คน ที่นำข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับรหัสเข้าแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง ส่งให้กับร้านค้าผู้กระทำความผิด โดยหลังจากนี้ตำรวจก็จะพิจารณาว่าจะต้องแยกการดำเนินคดีต่อไปอย่างไร

โดยร้านค้าผู้กระทำความผิดพบว่ามีประชาชน 200 รายที่เข้าข่ายร่วมกระทำความผิด โดยรัฐได้โอนเงินให้กับร้านค้าไปแล้วกว่า 220,000 บาท ในจำนวนนี้มีทั้งการซื้อ-ขายแบบสุจริต และการกระทำทุจริตโดยลูกชายของเจ้าของร้านเป็นหนึ่งในผู้หาวิธีฉ้อโกง เนื่องจากทราบช่องโหว่เชิงเทคนิค เช่น การไม่แสกนก็ซื้อสินค้าได้ ส่วนสามี-ภรรยา ทำหน้าที่เป็นนายหน้าพบว่าได้เงินส่วนต่างจากการกระทำผิด 10 วัน ประมาณ 10,000 บาท

อย่างไรก็ตามยอมรับว่า ยังไม่สามารถสรุปความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ เพราะอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่เชื่อว่าความเสียหายนั้นจะไม่สูง เนื่องจากทางธนาคารได้เฝ้าระวังและสั่งหยุดจ่ายเงินทันที เมื่อพบความผิดปกติ สำหรับข้อมูลพบว่ามีร้านค้าที่กระทำความผิดจำนวนอีกกว่า 700 ร้านค้า ซึ่งหลังจากนี้ตำรวจจะดำเนินการตรวจสอบและจับกุมดำเนินคดีต่อไป

ส่วนการสอบสวนดำเนินคดีในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ระบุว่า ตำรวจกองปราบ และตำรวจท่องเที่ยว ลงพื้นที่เก็บพยานหลักฐาน คาดว่าสัปดาห์หน้าจะสามารถสรุปคดีได้ หากพบเป็นเป็นคดีฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น จะออกหมายจับ ส่วนฉ้อโกง จะออกหมายเรียก เนื่องจากมีอัตราโทษหนักเบาไม่เท่ากัน

รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/djmAz29veUo

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ