ต่างประเทศ

“ทรัมป์” ประกาศชัย! อ้างดีล “โคคา โคลา” สำเร็จ เปลี่ยนสูตรโค้กในสหรัฐฯ กลับมาใช้น้ำตาลอ้อย

โดย chutikan_o

17 ก.ค. 2568

356 views

“ทรัมป์” ประกาศชัย! อ้างดีล “โคคา โคลา” สำเร็จ เปลี่ยนสูตรโค้กในสหรัฐฯ กลับมาใช้น้ำตาลอ้อย ครั้งแรกในรอบ 40 ปี ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “Make America Healthy Again”

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านทรูธโซเชียล อ้างเจรจาให้บริษัท Coca-Cola ให้ยอมเปลี่ยนส่วนผสมหลักในเครื่องดื่มโค้กที่จำหน่ายในสหรัฐฯ จากน้ำเชื่อมข้าวโพด กลับไปใช้น้ำตาลอ้อยแท้ เป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้โพสต์ว่า เขาได้พูดคุยกับบริษัทโคคา โคลา (Coca-Cola) เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนสูตรเครื่องดื่มโค้กในสหรัฐอเมริกา และทางบริษัทได้ตอบรับที่จะดำเนินการ เปลี่ยนส่วนผสมจากน้ำเชื่อมข้าวโพดฟรุกโตสสูง กลับไปใช้น้ำตาลอ้อยแท้ พร้อมชื่นชมว่านี่คือ “การเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยม”

หลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป บริษัทได้ออกแถลงการณ์ตอบสนอง โดยระบุว่าทางบริษัทรู้สึกชื่นชมต่อความกระตือรือร้นของประธานาธิบดีทรัมป์ที่มีต่อเครื่องดื่มชนิดนี้ และจะมีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ในเร็วๆ นี้

เป็นที่ทราบกันดีว่าโคคา-โคลา ได้เปลี่ยนมาใช้น้ำเชื่อมข้าวโพดในเครื่องดื่มโค้กที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2528เพื่อลดต้นทุนการผลิต ขณะที่ในหลายประเทศทั่วโลก เช่น เม็กซิโก สหราชอาณาจักร และหลายประเทศในแอฟริกาและตะวันออกกลาง ยังคงใช้น้ำตาลอ้อยเป็นส่วนผสมหลัก

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “Make America Healthy Again” ที่นำโดยนายโรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี จูเนียร์ ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีเป้าหมายส่งเสริมอาหารเพื่อสุขภาพและลดการใช้สารสังเคราะห์ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขชี้ว่า น้ำเชื่อมข้าวโพดฟรุกโตสสูงอาจมีส่วนเชื่อมโยงกับการเกิดโรคในเด็ก

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ส่วนใหญ่ยืนยันว่า ความแตกต่างด้านผลกระทบต่อสุขภาพระหว่างน้ำตาลอ้อยและ น้ำเชื่อมข้าวโพดฟรุกโตสสูงนั้นมีไม่มากนัก

ในขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้รับการคัดค้านจาก สมาคมผู้กลั่นข้าวโพด (Corn Refiners Association) ซึ่งได้ออกมาเตือนว่า การเลิกใช้น้ำเชื่อมข้าวโพดฟรุกโตสสูง จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดในแถบมิดเวสต์ของสหรัฐฯ อาจนำไปสู่การลดการจ้างงาน และทำให้สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำตาลจากต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้นในที่สุด



คุณอาจสนใจ

Related News