ต่างประเทศ

'อันวาร์' เผย มีสัญญาณเชิงบวกหลังคุย 'ภูมิธรรม-ฮุน มาเนต' แก้ไขผ่านการเจรจาอย่างสันติ

25 ก.ค. 2568

1K views

นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ได้โพสต์บนโซเชียลมีเดียว่า เขาได้พูดคุยกับนาย ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และรักษาการนายกรัฐมนตรีไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย เมื่อเย็นวานนี้  ระบุว่า มีสัญญาณเชิงบวกจากทั้งสองฝ่ายในการแก้ปัญหาผ่านการเจรจาอย่างสันติ


นายอันวาร์ โพสต์ในเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า “ในการหารือของเรา ในฐานะประธานอาเซียนปี 2568 ของมาเลเซีย ผมได้ร้องขอโดยตรงต่อผู้นำทั้งสองให้หยุดยิงโดยทันทีเพื่อป้องกันการสู้รบเพิ่มเติม และเพื่อสร้างพื้นที่สำหรับการเจรจาอย่างสันติและการแก้ไขปัญหาทางการทูต” และว่า “ผมยินดีกับสัญญาณเชิงบวกและความเต็มใจของทั้งกรุงเทพฯ และพนมเปญในการพิจารณาแนวทางนี้ต่อไป”


ขณะเดียวกัน ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับวิกฤตการณ์นี้ว่า “เราหวังว่าประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งสองประเทศจะแก้ไขปัญหานี้ตามกฎหมายระหว่างประเทศและการยุติข้อพิพาทโดยสันติ”

กระทรวงต่างประเทศยังระบุด้วยว่า “เราขอเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายพิจารณาและให้ความใส่ใจอย่างเหมาะสมต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์ที่อาจได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่”


ขณะเดียวกัน ทางด้านอดีตนักการทูตอาวุโสของมาเลเซีย นายอิลันโก การุปปันนัน กล่าวว่า ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา "สะท้อนให้เห็นถึงความคับข้องใจทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน" โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการแบ่งเขตแดนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขรอบพื้นที่ปราสาทพระวิหาร


การที่สิ่งนี้เกิดขึ้นภายใต้การเป็นประธานอาเซียนของมาเลเซียนั้น "เป็นบททดสอบที่แท้จริงถึงความเป็นผู้นำของมาเลเซียและความเกี่ยวข้องของอาเซียน"


"หากอาเซียนถูกมองว่าไม่สามารถจัดการความตึงเครียดระหว่างสมาชิกได้ ก็อาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของอาเซียนอย่างร้ายแรง และก่อให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับบทบาทของอาเซียนในสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค"  


มาเลเซียควรพิจารณาจัดการประชุมฉุกเฉินของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน เพื่อกระตุ้นให้เกิดความอดทนอดกลั้นและกระตุ้นให้ทั้งสองฝ่ายกลับมาใช้กลไกทวิภาคี เช่น คณะกรรมาธิการชายแดนร่วม คารุปปันนัน กล่าวเสริม


ขณะเดียวกัน ทางด้าน นายแอนโทนี เดวิส นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงจาก "เจนส์" Janes ซึ่งเป็นกลุ่มข่าวกรองด้านกลาโหมประจำกรุงเทพ  กล่าวกับสำนักข่าว นิกเคอิเอเชีย ว่า


“การเปรียบเทียบจำนวนกำลังพลทั้งหมด [ของกองทัพทั้งสองประเทศ] นั้นไม่มีประโยชน์นัก เพราะไม่ใช่ว่าพวกเขาจะเรียงแถวกันตามแนวชายแดนเพื่อดูว่าใครมีกำลังพลมากกว่ากัน เรื่องนี้เป็นเรื่องของอุปกรณ์ ดังนั้นไม่ว่าไทยจะมีกำลังพล 370,000 หรือ 372,000 นาย ก็ไม่เกี่ยวข้องกันมากนัก


เขากล่าวว่า “สมมติว่าสถานการณ์บานปลาย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่แน่นอน เรื่องนี้เป็นเรื่องของอุปกรณ์มากกว่าตัวเลข  ทั้งสองฝ่ายมีจำนวนกำลังพลในพื้นที่มากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดอย่างมาก คำถามคือพวกเขาจะนำอาวุธอะไรมาสู้รบได้บ้าง และเราได้เห็นแล้วว่าฝ่ายไทยสามารถนำอะไรมาได้บ้าง เช่น เครื่องบินขับไล่ F-16 ซึ่งฝ่ายกัมพูชาไม่สามารถตอบโต้ได้"

https://youtu.be/oTBRsBf4lVY

คุณอาจสนใจ

Related News