อิหร่านหวั่น 'ทรัมป์' จะกดดัน-คว่ำบาตรมากขึ้น - ฮามาสจี้ 'ทรัมป์' หยุดสนับสนุนอิสราเอล

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ชาวอิหร่านต่างหวั่นเกรงว่า โดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากที่ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนล่าสุด เขาอาจจะใช้นโยบายที่กดดันต่ออิหร่านมากขึ้น

โดยตามท้องถนนในกรุงเตหะราน เมืองหลวงของอิหร่านนั้น ค่อนข้างเงียบลง โดยมีผู้อยู่อาศัยรายหนึ่งกล่าวว่า เขาชื่นชมทรัมป์ แต่เกรงว่าเขาอาจใช้มาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน เพิ่มเติม

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่อาหรับ และชาติตะวันตก แจ้งสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า ทรัมป์อาจกลับมาใช้ 'นโยบายกดดันสูงสุด' อีกครั้ง โดยเพิ่มการคว่ำบาตรอุตสาหกรรมน้ำมันอิหร่าน และให้อิสราเอลมีอำนาจโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ และ 'ลอบสังหารเป้าหมาย' มากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

ในช่วงดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในสมัยแรกนั้น ทรัมป์ได้กลับมาใช้มาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน ในปี 2018 ส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน ทำให้รายได้ของรัฐบาลลดลง และบังคับให้อิหร่านต้องใช้มาตรการที่ไม่เป็นที่นิยม เช่น การเพิ่มภาษีและการขาดดุลงบประมาณ ซึ่งเป็นนโยบายที่ทำให้เงินเฟ้อประจำปีพุ่งขึ้นเกือบ 40%

ค่าเงินของอิหร่านอ่อนค่าลงจากการที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 700,000 ริอัลต่อดอลลาร์สหรัฐ

ขณะเดียวกัน ทางด้าน กลุ่มฮามาสซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุูธของปาเลสไตน์ และได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ได้ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้สหรัฐฯ ยุติ "การสนับสนุนอย่างตาบอด" ต่ออิสราเอล  โดยในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ทางช่อง Telegram ของกลุ่มฮามาสเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และชัยชนะของ โดนัลด์ ทรัมป์ กลุ่มฮามาสยังเรียกร้องให้ "ทำงานอย่างจริงจังเพื่อยุติสงคราม การสังหารหมู่ และการรุกรานต่อชาวปาเลสไตน์ ในฉนวนกาซา และเขตเวสต์แบงก์ ยุติการรุกรานชาวเลบานอนที่เป็นพี่น้องกัน ยุติการสนับสนุนทางทหาร และการปกป้องทางการเมืองต่อกลุ่มไซออนิสต์ และให้ยอมรับสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนของเรา"