ต่างประเทศ
เทียบนโยบาย 'ทรัมป์-แฮร์ริส' ก่อนศึกเลือกปธน.สหรัฐฯ วิเคราะห์ฐานเสียง หลังพบยังสูสี
โดย panwilai_c
30 ต.ค. 2567
60 views
อีกไม่ถึงสัปดาห์ เราก็จะได้เห็นโฉมหน้าของว่าที่ผู้นำสหรัฐฯคนต่อไปว่าเป็นใคร ซึ่งถือได้ว่าเป็นการแข่งขันกันอย่างสูสีมาก ระหว่าง คามาลา แฮร์ริส จากเดโมแครต กับ อดีตประธานาธิบดีโดนัดล์ ทรัมป์ ทำให้ผู้สมัครต่างชูนโยบายต่างๆ โน้มน้าวใจผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจและปัญหาภายในประเทศ
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 มีความแตกต่างจากการเลือกตั้งหลายๆครั้งที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะบทบาทของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันที่มีผลต่อโลกมากขึ้น ทำให้ผู้คนต่างจับตาว่า ประธานาธิบดี คนที่ 47 ของสหรัฐฯ จะดำเนินนโยบายในอีก 4 ปีข้างหน้าต่อไปอย่างไร
โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน ที่กระโดดลงมาสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกครั้ง มาคร้ั้งนี้เขายังคงประกาศชัดเจนว่า จะไม่ยอมแพ้ เหมือนกับเมื่อ 4 ปีที่แล้ว อย่างเด็ดขาด ทรัมป์ ยังคงยืนหยัด กับ วลีติดปากของเขาที่ว่า "We Will Make America Great Again"
ส่วน แฮร์ริส ตัวแทนผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ที่เป็นผู้หญิงผิวสี และ มีเชื้อสายเอเชียใต้ ได้ชูการหาเสียง โดยให้เห็นถึงความสำคัญของเสรีภาพในด้านต่างๆ ทั้งเรื่องพื้นฐาน จนกระทั่งเสรีภาพในการทำแท้งของผู้หญิง
สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2024 นี้ อาจารย์ วิบูลย์พงศ มองว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ สนใจประเด็นภายในประเทศมากกว่าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการทำแท้ง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มากสำหรับคนอเมริกัน เพราะผู้หญิงทั้งประเทศได้รับกระทบจากเรื่องนี้ ขณะที่ทรัมป์ ยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่มีนโยบายต่อต้านการทำแท้งในระยะท้ายของการตั้งครรภ์ ทำให้ แฮร์ริส มีความได้เปรียบทรัมป์ในเรื่องนี้ และอีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องของ พรมแดน ซึ่งการจัดการที่เด็ดขาดของทรัมป์ กลับได้ใจคนผิวสี ชนชั้นกลางและแรงงาน ในสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบหนัก จากกลุ่มละตินที่เข้าเมืองผิดกฎหมายมาแย่งงานทำ
"แน่นอนว่า ผู้หญิงส่วนมากไม่เห็นด้วยกับการที่ไม่ให้พวกเขาทำแท้ง เพราะฉะนั้นคะแนนผู้หญิงส่วนมากก็จะเทมาให้ทางเดโมแครต INS ในขณะเดียวกันคนผิวดำ หลายคนสงสัยว่า ทำไมคนผิวดำถึงจะให้คะแนนแฮร์ริสน้อย ซึ่งก็เป็นผลมาจากเรื่องเศรษฐกิจไม่ดี เมื่อเศรษฐกิจไม่ดีคนผิวดำ ซึ่งเป็นคนระดับกลางๆ ล่างๆ ก็ได้รับผลกระทบ ในขณะทีทรัมป์ประกาศว่า ถ้าเขาเข้ามา เขาจะทำตรงนี้ให้ดีขึ้น"
ทรัมป์ มักจะโจมตีว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯย่ำแย่ ในช่วงเวลาที่โจ ไบเดน เป็น รัฐบาลบริหารประเทศ ไม่ว่าจะโจมตีเรื่องคนตกงาน หรือสินค้าราคาแพง โดยทรัมป์ สัญญาว่าจะแก้ปัญหาเงินเฟ้อ และทำให้สหรัฐฯกลับมากมีค่าครองชีพและราคาบ้านในระดับที่เหมาะสมและเข้าถึงได้ รวมถึง นำแผนนำน้ำมันสำรอง มาลดต้นทุนเชื้อเพลิง ชำระหนี้ให้กับประเทศ ที่ตอนนี้ มีหนี้สูง 35 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ในขณะที่ นโยบายด้านเศรฐกิจของ แฮร์ริส ที่มีดีกรีดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในตอนนี้ ประกาศยึดหลักการสร้าง เศรษฐกิจแห่งโอกาส เพื่อสนับสนุนชนชั้นกลางเป็นหลัก รวมทั้ง เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำให้กับประชาชนใน 100 วันแรก หลังเข้ารับตำแหน่ง และ ช่วยให้ชาวอเมริกัน สามารถซื้อบ้านหลังแรกได้ และลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้ผลิตในประเทศ
สำหรับความเคลื่อนไหวการหาเสียงเลือกตั้งในช่วง 1 สัปดาห์สุดท้าย ก่อนจะถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดี สหรัฐฯ เป็นไปอย่างเข้มข้น ล่าสุด แฮร์ริส ได้ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงต่อหน้าผู้สนับสนุน กว่า 7 หมื่น 5 พันคน ใกล้กับทำเนียบขาว กรุงวอชิงตันดีซี ซึ่งเป็นจุดที่ผู้สนับสนุนทรัมป์ บุกอาคารรัฐสภา เพื่อยับยั้งการรับรองชัยชนะการเลือกตั้งของ โจ ไบเดน จนกลายเป็นเหตุจลาจล เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2021 โดย แฮร์ริส ได้บอกกับผู้สนับสนุนว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกอะไร ระหว่าง เสรีภาพ หรือ ความวุ่นวาย ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุคสมัยทรัมป์
ส่วน อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ลุยหาเสียงที่เมืองอัลเลนทาวน์ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวานนี้ มุ่งเน้นไปที่กลุ่มคนละติน โดยทรัมป์ประกาศชัดเจนว่า ไม่มีใครรักชาวละตินและชาวเปอร์โตริโกไปมากกว่าตัวเขาแล้วอีกแล้ว และเขาทำเพื่อชาวเปอร์โตริโกมากกว่าประธานาธิบดีคนไหน ๆ
-การออกมาแสดงความปรารถนาดีของทรัมป์ต่อชาวละตินและเปอร์เตอริโก มีขึ้นหลังจากเกิดวิวาทะกันระหว่างฝั่งรีพับลิกัน และ เดโมแครต เกี่ยวกับคำว่า "ขยะ" จากกรณที่มีคลิปวิดีโอของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เรียกผู้สนับสนุนของทรัมป์ว่า "ขยะ" แต่ทำเนียบขาว ยืนยันว่า ไบเดน หมายถึง วาทกรรมที่แสดงความเกลียดชังต่อชาวเปอร์โตริโก ในระหว่างการพูดบนเวทีหาเสียงของผู้สนับสนุนทรัมป์ ที่นครนิวยอร์กเมื่อวันอาทิตย์ โดยเรียกเปอร์โตริโกว่า "เกาะขยะลอยน้ำ"
สำหรับคะแนนนิยมทั่วประเทศ ล่าสุด ที่จัดทำโดย ไฟว์เทอร์ตี้เอ้ก และ เอบีซี นิวส์ ในวันนี้ ชี้ว่า แฮร์ริส ยังมีคะแนนนำทรัมป์อยู่ ร้อยละ 1.4 โดยมีคะแนนนิยมร้อยละ 48.1 ต่อ 46.7