รมว.คลัง เชื่อ สหรัฐฯ เก็บภาษี 19% ไทยแข่งขันได้ เจรจาโฟกัส “พลังงาน-น้ำมัน-เครื่องบิน”

รมว.คลัง เชื่อ สหรัฐฯ เก็บภาษี 19% ไทยแข่งขันได้ รับไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้าง เจรจาโฟกัส “พลังงาน-น้ำมัน-เครื่องบิน” จากสหรัฐฯ มากขึ้น พร้อมยอมรับว่าสินค้าสวมสิทธิ์ เป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ไม่อยากเห็น เชื่อหลังจากนี้จะหายไปจากไทยอย่างมีนัยยะสำคัญ

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การประกาศอัตราภาษีที่ 19% นั้นยอมรับว่า อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ไทยไม่ได้เปิดเสรีการนำเข้าสินค้าให้กับสหรัฐในอัตรา 0% ทุกรายการ ซึ่งสินค้าที่เปิดให้นั้น บางรายการที่ไทยผลิตได้ แต่ยังไม่เพียงพอ จะมีระยะเวลาในการผ่อนปรนเพื่อให้ผู้ประกอบการไทยปรับตัวได้ด้วย เช่น ขอเวลา 5 ปีเพื่อปรับตัว หรือ ขอนำเข้าเป็นโควตา เป็นต้น

กรณีข้าวโพด ได้ตกลงกับผู้ซื้อของไทยว่า จะตกลงซื้อจากเกษตรกรไทยก่อน ที่ปัจจุบันผลิตได้ 5 ล้านตัน หลังจากนั้นจะพิจารณาซื้อจากประเทศเพื่อนบ้าน และสหรัฐฯ

กรณีของเนื้อหมู ยังต้องมีการหารือในรายละเอียดต่อไป หากจะดำเนินการ จะต้องมีกติกา โดยหากจะเปิดจะเป็นจำนวนที่น้อยมาก ซึ่งอาจจะต่ำกว่า 1% ในการนำเข้า รวมถึงตรวจที่มาของหมูด้วย

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า สินค้าที่ไทยให้ 0% กับสหรัฐฯ มีเป็นหมื่นรายการ ซึ่งบางรายการสหรัฐฯ ไม่ได้มีการผลิตด้วยซ้ำ และไม่คิดว่าเขาจะผลิตด้วย เช่น ลำไย หรือ ปลาสลิดที่มีราคาที่สูงกว่าไทย เป็นต้น”นายพิชัย กล่าว

นายพิชัย กล่าวว่า สิ่งที่ไทยขาดแคลน คือ พลังงาน ประกอบด้วย น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ดังนั้น ไทยจึงระบุว่า มีโอกาสที่จะซื้อพลังงานเพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ โดยจะพิจารณาจากสหรัฐฯ เป็นพิเศษ หรือ มีความเป็นไปได้ที่จะซื้อจากสหรัฐฯ 10% หรือ ถึง 1.2 แสนล้านบาร์เรล ส่วนก๊าซธรรมชาตินำเข้า 50% ซึ่งนำเข้าจากตะวันออกกลาง ซึ่งยังติดสัญญาระยะยาวและจะทยอยหมดอายุ โดยจะมีการพิจารณาต้นทุนที่ต่ำกว่าจากปัจจุบันที่ไทยนำเข้าอยู่ด้วย โดยล่าสุดไทยได้ลงนามในสัญญาแล้วว่าจะซื้อจากสหรัฐฯ 1 ล้านตัน จากใน 15 ล้านตันที่นำเข้า โดยจะเริ่มส่งปีหน้า จะทำให้ค่าไฟในเมืองไทยถูกลงด้วย

นอกจากนี้สิ่งที่จะซื้อ คือ เครื่องบิน โดยสายการบินไทย ได้ตัดสินใจไประดับหนึ่งแล้วว่าจะซื้อโบอิ้ง โดยจะทยอยซื้อใน 5-10 ปี โดยมีความต้องการ 100 เครื่องบวกลบ

ด้านการแก้ไขกฎระเบียบ หรือ อุปสรรคการค้าที่ไม่ใช่ภาษีนั้น ทางสหรัฐฯ มีความต้องการให้ไทยแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าว โดยสหรัฐฯ มีการทำเซอร์เวย์ ซึ่งดำเนินการทำทุกปี ว่ามีปัญหาขาเข้า เอกสารล่าช้า มาตรฐานสินค้าได้รับการรับรองล่าช้า ติดขั้นตอนเป็นระยะเวลานาน ซึ่งเรื่องนี้ ยืนยันว่า เป็นสิ่งที่ไทยควรจะต้องเร่งดำเนินการ จึงมองเป็นโอกาสในการช่วยแก้ไข โดย

ขณะที่สินค้าสวมสิทธิ ที่มาจากประเทศอื่น เป็นสิ่งที่สหรัฐฯไม่อยากเห็น โดยหลังจากนี้จะมีการกำหนดสัดส่วนว่า จะต้องกี่เปอร์เซนต์ที่มีสัดส่วนสินค้าของไทยในการผลิต ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถตกลงได้ว่า จะเป็นสัดส่วนของไทยเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม หากเข้าเกณฑ์การสวมสิทธิจะโดนภาษีในอัตรา 40% เหมือนกันกับประเทศอื่นๆ โดยหลังจากนี้ไทยจะต้องเร่งแก้ไขด่วน

ปัจจุบันไทยส่งออกไป 50,000 กว่าล้านดอลลาร์ แต่มี 20,000 กว่าล้านดอลลาร์ ที่สหรัฐมองว่า อาจไม่ใช่สินค้าของไทยจริงๆ วันนี้ ให้กรมศุลกากรไทย-สหรัฐฯ ว่ามีสินค้าใดบ้าง มีใครบ้าง ให้กำหนดกฎเกณฑ์ ต้องแสดงต้นกำเนิดสินค้า ใบนี้จะออกให้ผู้ส่งออก แล้วเป็นสวมสิทธิไม่ดี ที่ผ่านมาจึงมีการตรวจโรงงานด้วย