เศรษฐกิจ
บทสรุป 'นายกฯ เศรษฐา' เยือนจีน ชูจุดแข็งการท่องเที่ยว ฉายภาพ 'แลนด์บริดจ์' ดันไทย 'EV Hub'
19 ต.ค. 2566
62 views
บทสรุป ครั้งแรกกับการเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อเข้าร่วมการประชุม Belt and Road Forum for International Cooperation ครั้งที่ 3 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 16 - 19 ตุลาคม 2566

นายกรัฐมนตรี ได้ย้ำว่า ไทยและจีนมีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนานทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม มีการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมระหว่างกันมาตั้งแต่อดีต และมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่สืบเชื้อสายมาจากเชื้อชาติจีน และจะครบรอบ 48 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนดำเนินมาอย่างราบรื่น และ เชื่อว่าข้อริเริ่ม Belt and Road Initiative (BRI) ก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศในหลากหลายมิติทั้งด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และด้านวัฒนธรรม
ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียนสามารถเชื่อมต่อกับเส้นทางภายใต้ BRI ทั้งทางบกและทางทะเล จึงถือเป็นโอกาสดีในการส่งเสริมความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ ตลอดจนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระหว่างประเทศไทยกับจีน ปัจจุบันไทยมีเส้นทางถนน R3A ซึ่งสามารถเชื่อมต่อการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังคุนหมิง ทางน้ำมีการเดินเรือในแม่น้ำโขงและการเดินเรือสมุทรระหว่างไทยกับจีน ส่วนทางอากาศก็มีเส้นทางบินตรงจากเมืองใหญ่หลายเมืองของจีนมาไทย
การลงทุน ไทยมีแผนดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์ ( Land Bridge) สร้างความเชื่อมโยงจากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของไทย มีลักษณะทางกายภาพสามารถเปิดสู่ทะเลทั้งสองด้าน และสามารถเป็นประตูในการขนส่งและแลกเปลี่ยนสินค้าของประเทศในภูมิภาค รวมถึงประเทศจีนตอนใต้ เป็นช่องทางในการแลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งจะช่วยลดเวลา และระยะทางการขนส่งจากเดิม ทำให้ประหยัดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มศักยภาพทางการค้าของประเทศไทยกับกลุ่มประเทศที่อยู่ทางด้านมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก อีกทั้งยังรองรับและส่งเสริมโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)
องค์ประกอบสำคัญที่จะต้องพัฒนาไปพร้อมกันประกอบด้วย ท่าเรือน้ำลึก 2 ฝั่งทะเล และโครงข่ายเชื่อมโยงระบบราง มอเตอร์เวย์ และทางท่อ รวมถึงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์หลังท่าโดยการถมทะเลเพื่อพัฒนากิจการสนับสนุนท่าเรือ ซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนาในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมขนาดเบา และส่งเสริมการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ โดยการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมบริการต่าง ๆ ในพื้นที่
การพัฒนาโครงการฯ เป็นการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership : PPP) โดยให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนโครงการทั้งโครงการในลักษณะท่าเรือเดียวเชื่อม 2 ฝั่ง (One Port Two Sides) โดยโครงการฯ มีความเหมาะสมในการลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งยังก่อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่จำนวนกว่า 280,000 ตำแหน่ง และเป็นส่วนช่วยทำให้ GDP ของประเทศไทยมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ประมาณการโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ 4.0% ต่อปี เป็น 5.5% ต่อปีอีกด้วย


นอกจากนี้ ไทยยังสนับสนุนการลงทุนด้วยนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนการลงทุนในไทย และการในการดำเนินธุรกิจ (ease of doing business) การสนับสนุนการลงทุนด้วยมาตรการจาก BOI
ด้วยข้อได้เปรียบของไทยที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ในอาเซียน โดยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและโลจิสติกส์ของภูมิภาค การเข้ามาทำธุรกิจการค้าและการลงทุนกับไทย จึงไม่เพียงแค่รองรับประชากร 67 ล้านคนเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงประชากรกว่า 620 ล้านคนในอาเซียน ซึ่งสอดคล้องกับโครงการแลนด์บริดจ์ ข้างต้น
ในส่วนของโครงการแลนด์บริดจ์ นอกจากจะเกิดการพัฒนาด้านโครงสร้างแล้ว โครงการใหญ่ Mega Project ขนาดนี้จะก่อให้เกิด การพัฒนาทาง Digital นำทางสู่ การขยายความเจริญทางดิจิทัลสู่ชุมชน ต่อยอดการลงทุนในพื้นที่ ซึ่งรัฐบาลต้องดำเนินการพัฒนาทางการศึกษาอย่างควบคู่ไปด้วย และความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจเหล่านี้ จะก่อให้เกิดการสร้างงานจำนวนมหาศาล
เมื่อมีการพัฒนาด้านโครงสร้างทางรูปธรรมแล้ว รัฐบาลวางแผนพัฒนาทางดิจิทัล เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างครอบคลุมเห็นภาพชัดเจน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนภาคเอกชนจีนเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น ซึ่งรวมถึงการลงทุนในธุรกิจ Cloud Service Smart City และการพัฒนาเทคโนโลยีที่จะช่วยอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลของไทย รวมทั้ง นายกรัฐมนตรีไม่ลืมที่จะระบุถึงการพัฒนาทางการเกษตร Smart Agriculture
รวมทั้ง ในส่วนของการลงทุน EV Hub นายกรัฐมนตรียังได้เชิญชวนภาคเอกชนจีนเข้ามาลงทุนในไทย เพื่อตั้งศูนย์การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า(EV) ครบวงจรของภูมิภาค โดยได้ย้ำถึงศักยภาพของไทยปัจจัยสนับสนุนที่พร้อม และสภาพแวดล้อมที่ได้เปรียบ ซึ่งไทยเป็นประเทศแรกที่ดำเนินมาตรการเกี่ยวกับ carbon credit และมีผู้ผลิตหลายรายที่แสดงความประสงค์ตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ EV ในไทย โดยนายกรัฐมนตรีจะตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางฐานการผลิตด้านรถยนต์ EV อย่างครอบคลุม
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้สร้างความมั่นใจแก่ฝ่ายจีนว่า ประเทศไทยมีความปลอดภัย และพร้อมอำนวยความสะดวกการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยวจีน ผ่านมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว (Visa Free) ให้แก่นักท่องเที่ยวชาวจีนตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 และพร้อมผลักดันให้เป็นมาตรการแบบถาวรต่อไป ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างประชาชนของสองประเทศ
ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้โครงการที่รัฐบาลวางแผนดำเนินการนี้ ทำให้เกิดความเชื่อมโยงในวงกว้าง เชื่อว่าจะต่อยอดนำมาถึงการลงทุนที่มากกว่า 1 ล้านล้านบาท