อาชญากรรม
ชายวัย 49 ร้องสื่อ ญาติชวนลงทุนสูญเงิน 4.5 ล้าน อ้างต้องเคลียร์สรรพากร - CIB ให้เรื่องเงียบ
โดย kanyapak_w
11 ธ.ค. 2567
221 views
ชายวัย 49 ร้องสื่อ ญาติชวนลงทุนสูญเงิน 4.5 ล้าน อ้างต้องเคลียร์สรรพากร 2.4 ล้านและ CIB 14 ล้าน เพื่อให้เรื่องเงียบ
วันที่ 11 ธ.ค.67 เวลา 10.00 น.ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องทุกข์จากนาย สุพล อายุ 49 ปี (ผู้เสียหาย)อาชีพ พนักงานบริษัทเอกชน อาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี หลังจากเมื่อช่วงเดือน พ.ค.65 ถูกนายนาย ศิริชัย (คู่กรณี) ซึ่งเป็นญาติสนิท(เป็นลูกของลุง) และ น.ส.ยุพิน (แฟนนายศิริชัย) หลอกให้ร่วมลงทุนเกี่ยวกับเรื่องของการหากำไรจากการจ่ายภาษีสำหรับสินค้านำเข้าและส่งออกภายในตู้คอนเทนเนอร์
โดยใช้ชื่อบริษัทฯ แห่งหนึ่ง โดยจะแบ่งเปอร์เซ็นให้ 8% จากเงินลงทุน สูญเงินกว่า 4.5 ล้านบาท ก่อนจะรู้ความจริงว่าเป็นธุรกิจการฟอกเงินและมีการแสดงข้อมูลเท็จให้กรมสรรพากรและกินกำไรส่วนต่างจากภาษี ขอเงินลงทุนคืนแต่ไม่มีให้ ก่อนที่ น.ส.ยุพินจะอ้างว่าบัญชีธนาคารของตนถูกตรวจสอบและถูกอายัดเพราะมีเงินเข้าออกมาก และต้องจ่ายเงินจำนวน 2.4 ล้านบาทให้กับสรรพากร และเงินอีก14 ล้านบาทให้กับ CIB เพื่อทำให้เรื่องเงียบ
นาย สุพล เล่าว่า เมื่อประมาณเดือน พ.ค.65 นาย ศิริชัยและ น.ส.ยุพิน ได้มาชักชวนตนให้ร่วมลงทุนและได้บอกว่าทำงานเป็นชิปปิ้งอยู่ที่กรมศุลฯสุวรรณภูมิ โดยทางนายศิริชัยได้ลงทุนไปแล้ว 11 ล้าน และได้กำไรวันละ 24,000 บาท และได้มีการส่งหลักฐานเป็นสลิปการโอนเงินให้กับคนที่ร่วมลงทุนอีกหลายคนมาให้ตนดู
ตนเห็นว่าเป็นญาติสนิทกันและคิดว่าเขาคงไม่หลอกเราแน่ๆ จึงได้ตัดสินใจร่วมลงทุนกับเขา โดยนาย ศิริชัยบอกว่าจะได้กำไร 8% จากเงินลงทุน ซึ่งตนได้โอนเงินไปหลายครั้งตั้งแต่วันที่
วันที่ 8 พ.ค.65 โอนเงินจำนวน 400,000.บาท
วันที่ 12 พ.ค.65 โอนเงินจำนวน 350,000.บาท
วันที่ 18 พ.ค.65 โอนเงินจำนวน 150,000.บาท
วันที่ 19 พ.ค. 65 โอนเงินจำนวน 100,000.บาท
วันที่ 20 พ.ค.65 โอนเงินจำนวน 350,000.บาท
วันที่ 26 พ.ค.65 โอนเงินจำนวน 60,000.บาท
วันที่ 26 พ.ค.65 โอนเงินจำนวน 200,000.บาท
วันที่ 05 มิ.ย.65 โอนเงินจำนวน 410,000.บาท
วันที่ 13 มิ.ย.65 โอนเงินจำนวน 310,000.บาท
วันที่ 23 มิ.ย.65 โอนเงินจำนวน 20,000.บาท
วันที่ 4 ก.ค.65 โอนเงินจำนวน 100,000.บาท
และวันที่ 17 ส.ค.65 โอนเงินจำนวน 2,000,000.บาท รวมทั้งหมด 4,450,000 บาท โดยเงิน 2 ล้านสุดท้ายนี้ เป็นเงินที่ตนเอาบ้านไปรีไฟแนนซ์ไว้ ทั้งหมดโอนเข้าไปยังบัญชีธนาคารของ น.ส.ยุพินทั้งหมด
ซึ่งหลังจากการโอนเงินครั้งแรกไปแล้ว 400,000 บาท นายศิริชัยก็ได้มีการแบ่งผลกำไร8% ให้ตนอยู่เป็นจำนวนเงิน 32,000 บาท ตนเห็นว่าได้เงินจริงจึงได้ลงเงินลงทุนเพิ่มไปอีก แต่พอเริ่มลงทุนไปอีก ทางด้านนาย ศิริชัยและ น.ส.ยุพิน ก็ไม่ได้แบ่งกำไรให้กับตนตามที่ตกลงกันไว้ พอช่วงปลายปี 65 จึงได้มีการสอบถามว่าติดปัญหาอะไรรึเปล่า ซึ่งทาง น.ส.ยุพิน ได้บอกกับตนว่า วันๆ นึงต้องลงทุนเยอะพร้อมกับส่งตารางรายการที่ลงทุนต่อวันให้ตนดูและยังบอกอีกว่าวันๆ นึงจะต้องโอนเงินให้กับผู้ร่วมลงทุนรายอื่นอีกซึ่งเป็นจำนวนเงินที่เยอะมาก
แต่ส่วนของตนยังไม่สามารถเบิกได้ หลังจากนั้นไม่นาน น.ส.ยุพินได้บอกกับตนว่าตอนนี้ บัญชีธนาคารของ น.ส.ยุพินถูกเจ้าหน้าที่สรรพากรตรวจสอบและอายัดบัญชีไว้เนื่องจากมีเงินเข้าบัญชีเยอะมาก ทำให้ไม่สามารถโอนเงินได้ ซึ่งต่อมานาย ศิริชัย ได้มาบอกกับตนว่าตัวของ น.ส.ยุพิน ได้เปิดรับให้คนโอนเงินเข้าบัญชีในลักษณะการฟอกเงินจึงโดนอายัดบัญชีดังกล่าว จากที่ทราบมาเป็นเจ้าหน้าที่ของสรรพากรที่เข้ามาตรวจสอบและพบว่าไม่ได้มีการจ่ายภาษี และจะต้องจ่ายภาษีย้อนหลังจำนวน 2.4 ล้านบาท
นาย สุพล เล่าอีกว่า หลังจากหลังจากเคลียร์กับทางสรรพากรเสร็จแล้ว ทางด้าน น.ส.ยุพิน ยังอ้างกับตนอีกว่า นอกจากจะต้องจ่ายเงินให้กับทางสรรพากรแล้ว ยังต้องจ่ายเงินอีกจำนวน 14 ล้านบาท ให้กับทางหน่วยงานของCIB เพื่อไม่ให้เรื่องมันบานปลาย เพื่อให้เรื่องมันเงียบไป ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าจริงไหมหรือว่า น.ส.ยุพินแค่เอามาอ้างเฉยๆ ซึ่งตนก็มารู้ที่หลังว่า ธุรกิจที่ นาย ศิริชัยและน.ส.ยุพิน ชวนลงทุนนั้นจะเป็นลักษณะการลงทุนในรูปแบบของการจ่ายภาษีสินค้านำเข้าส่งออกให้กับ บริษัท ซี เค ชูส์(ประเทศไทย) ให้ก่อนและไปเรียกเก็บเงินคืนทีหลัง
สมมติว่าจะต้องจ่ายภาษี 1 ล้านบาท แต่ทาง นาย ศิริชัยกับ น.ส.ยุพิน จะทำเอกสารให้จ่ายภาษีแค่ 1-2แสนบาท และกินส่วนต่างเอา ซึ่งเป็นลักษณะการสำแดงเอกสารเท็จ จึงโดนตรวจสอบและถูกอายัดบัญชี หลังจากรู้เรื่องตนได้สอบถามกับ น.ส.ยุพินว่าตกลงจริงๆแล้วเงินที่เอาไป เอาไปทำอะไรกันแน่ น.ส.ยุพินก็ยอมรับกับตนว่าที่เขาทำเป็นการโกงภาษี ต่อมาตนจึงได้ทำการสอบถามไปยังบริษัทดังกล่าวว่ามีการทำแบบนี้จริงไหม แต่ทางบริษัทฯตอบกลับมาว่า ไม่มีการทำแบบนี้ แสดงว่าทางบริษัทฯอาจจะไม่มีส่วนรู้เห็นกับ นาย ศิริชัยและ น.ส.ยุพิน ต่อมาตน
พยายามจะขอถอนเงินที่ลงทุนคืนเพราะไม่อยากเกี่ยวข้องด้วย แต่ทางนาย ศิริชัย กับ น.ส.ยุพินก็ปฎิเสธการคืนเงิน และบอกอีกว่าถ้ายังทวงเงินอยู่แบบนี้จะบล็อคไม่คุยด้วย ตนจึงได้เข้าไปแจ้งความไว้กับ ร.ต.อ เอกโกวิด ศรีนิลทา ที่ สภ.บางบัวทอง ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค.66 แต่คดีไม่มีความคืบหน้า ร้อยเวรเจ้าของคดีไม่มีการสอบปากคำเลื่อนแล้วเลื่อนอีก จนร้อยเวรเสียชีวิตไปแล้ว ตนจึงได้จ้างทนายและทำเรื่องฟ้องเอง ตอนนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้องไปแล้วเนื่องจากคดีหมดอายุความไปแล้ว แต่ตนกำลังยื่นศาลอุธรณ์ต่อ
นาย สุพล เล่าเพิ่มเติมอีกว่า เมื่อช่วงเดือน พ.ค. 67 ตนได้ไปติดตามคดีต่อที่โรงพักบางบัวทอง โดยมี พ.ต.ท.ชัยภัทร วิลาศรี สว.(สอบสวน) สภ.บางบัวทอง รับเรื่องต่อ ซึ่งสารวัตรตามคดีให้เร็วมาก มีการเรียกตนและคู่กรณีมาสอบปากคำ ตนจึงได้เล่าให้ฟังว่า ตนได้จ้างทนายฟ้องเองด้วยแล้ว ทางสารวัตรได้บอกกับตนว่าถ้างั้นในส่วนของตำรวจก็ไม่ต้องส่งสำนวนให้อัยการเพราะถ้าส่งไปก็เป็นเรื่องเดิม
เขาก็ไม่รับฟ้องอยู่ดี ตนเลยติดใจสงสัยว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถทำได้ด้วยหรอที่จะไม่ต้องส่งสำนวนที่สอบปากคำคู่กรณีให้กับทางอัยการ เพราะทางร้อยเวรคนเก่าเขาก็แจ้งตนไว้ว่าลักษณะแบบนี้เข้าข่ายฉ้อโกง จึงเกิดความไม่สบายใจจึงเดินทางไปเข้าร้องที่กองปราบเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.67 แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบบอกว่า เรื่องคดีความให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่จะดีกว่า ส่วนเรื่องที่จะให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินนั้นจะรับเรื่องไว้พิจารณา
แท็กที่เกี่ยวข้อง อาชญากรรม ,ลวงลงทุน ,นนทบุรี ,ญาติลวงลงทุน