อาชญากรรม

'แอม ไซยาไนด์' ไม่สลด! แต่งหน้าสวย หัวเราะในศาล ฟังคำพิพากษาประหารชีวิต

โดย petchpawee_k

10 ชั่วโมงที่แล้ว

159 views

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์” อดีตสามีคุก 1 ปี 4 เดือน ส่วนทนายพัช คุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ชดใช้ ให้ผู้เสียหาย 2.3 ล้านบาท ตำรวจเตรียมอีก 14 สำนวน ส่งอัยการ 26 พ.ย. นี้ “แม่ของก้อย” หลั่งน้ำตาพอใจคำตัดสินขอบคุณศาลที่ให้ความยุติธรรม เผย แอมไม่มีท่าทีสลดยังยิ้มแย้มแจ่มใส ด้านทนายเดชา เผย ก่อนหน้านี้ศาลนัดไต่สวน แอมปฏิเสธเบิกความต่อหน้าศาล ส่วนทนายพัชสู้คดีว่าไม่มีพยานหลักฐานตอนวางยา

 วานนี้ (20 พ.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 713 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษา   คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 และมารดาผู้เสียชีวิตร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง นางสรารัตน์ รังสิตวุฒาภรณ์ หรือ แอม ไซยาไนด์ อายุ 36 ปี จำเลยที่ 1 ความผิดฐานฆ่าอื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อตระเตรียมการหรือเพื่อสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น, ชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ปลอมปนอาหาร ยาหรือเครื่องอุปโภคอื่นใด เพื่อบุคคลอื่นเสพหรือใช้ และการปลอมปนนั้นเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย

ส่วน พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ อายุ 40 ปี อดีตสามี และอดีตรอง ผกก.สภ.สวนผึ้ง จำเลยที่ 2 และ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัตร์ หรือ ทนายพัช อายุ 36 ปี จำเลยที่ 3 ในความผิดฐานช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง และซ่อนเร้นทำลายหลักฐาน พร้อมเรียกค่าเสียหายจำนวน 30 ล้านบาท

สำหรับคดีนี้อัยการโจทก์ระบุฟ้องพฤติการณ์ความผิดพวกจำเลยต่อศาลอาญา เมื่อวันที่ 18 ก.ค.66 สรุปว่า เมื่อวันที่ 14 เม.ย.2566 นางสรารัตน์จำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่า น.ส.ศิริพร ขันวงษ์ หรือ ก้อย อายุ 32 ปี โดยนำสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ (Potassium Cyanide) ซึ่งเป็นสารพิษปลอมปนใส่ลงในอาหาร หรือน้ำดื่ม และปริมาณเท่าใดไม่ปรากฏชัด ให้ผู้ตาย ดื่มหรือรับประทาน ระหว่างที่จำเลยที่ 1กับผู้ตาย ซึ่งเป็นเพื่อนกันเดินทางไปปล่อยปลาที่ท่าน้ำ ต.บ้านโป่ง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ก่อนที่ผู้ตายจะหมดสติ และเสียชีวิตเวลาต่อมา

โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การช่วยเหลือและนำทรัพย์สินผู้ตาย 9 รายการมูลค่า 154,630 บาท ของผู้ตายไปให้แก่ผู้มีชื่อ เพื่อซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ ตามที่จำเลยที่ 3 ได้ใช้ หรือยุยงส่งเสริมจำเลยที่ 2 เพื่อมิให้เจ้าพนักงานตำรวจติดตามหาทรัพย์ของผู้ตาย เพื่อเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิให้ต้องรับโทษตามกฎหมาย หรือให้ได้รับโทษน้อยลงอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย  จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี โดยจำเลยที่ 1 ถูกคุมขังในทัณฑสถานหญิงกลาง ส่วนจำเลยที่ 2-3 ได้รับการประกันตัวโดยศาลตีราคาประกันคนละ 1 แสนบาท

โดยศาลเริ่มอ่านคำพิพากษาตั้งแต่ เวลา 9.30 น. พิเคราะห์พฤติการแห่งคดี ว่าช่วงวันที่ 1 ม.ค. 63 ถึง 5 พ.ค.66 จำเลยที่1 มีเงินหมุนเวียนในบัญชีมากกว่า 95 ล้านบาท และมีเส้นทางการเงิน เชื่อมโยงอีก 10 บัญชี ที่ตรวจสอบพบว่าเป็นบัญชีม้าและเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ พร้อมกับมีหนี้สินจำนวนมาก

ส่วนในปี 64 - 65 พบว่าจำเลยที่ 1 เสียเงินให้กับพนันออนไลน์จำนวนมาก เเละมีผู้เสียชีวิตมากขึ้นกว่าเดิมในช่วงเวลาดังกล่าว ต่อมามีพยานที่เป็นผู้เสียหายถูกจำเลยที่1 หลอกลวงเพื่อวางยาในน้ำดื่มและในยาเม็ดแคปซูล ต่อมาพบว่ามีอาการเหมือนถูกพิษ ข้อเท็จจริงยังได้ความว่ามีการเสียชีวิตของผู้เสียหายที่เกี่ยวพันลักษณะนี้ 13 ราย เเละรอดชีวิต 2 ราย

ส่วนการเสียชีวิตของนางสาวศิริพร หรือก้อย มีการกระทำหลายอย่างของจำเลยที่ 1 (แอม) ที่เป็นพิรุธ ที่แสดงให้เห็นถึงเจตนาและความคาดหมายว่าจะให้เสียชีวิตในช่วงเวลาใด รวมถึงจำเลยที่1 คอยอยู่ใกล้ผู้ตายเพื่อขโมยของ ก่อนที่จะมีผู้อื่นเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งหากบริสุทธิ์จริงควรอยู่ช่วยชีวิตจนถึงที่สุด หรือ โทรติดต่อญาติของผู้ตายให้ทราบ จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่1 มีการวางแผนมาตั้งแต่ต้น ยังพบข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ได้สั่งไซยาไนด์ มาอย่างเร่งรีบ ทั้งที่ไม่มีอาชีพเกี่ยวกับสารเคมี และพบว่ามียาไซยาไนด์ซ่อนอยู่ภายในรถยนต์ของผู้ตายหลายจุด รวมถึงพบยาเม็ดแคปซูลที่ภายในประกอบด้วยสารไซยาไนด์ซ่อนอยู่ในห้องโดยสารรถยนต์ คดีนี้เเม้ไม่มีประจักษ์พยานเเต่พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ที่เห็นผู้ตายล้มลงเเละยังลักทรัพย์ผู้ตายโดยไม่ช่วยเหลือ เเละภายหลังผู้ตายเสียชีวิตด้วยไซยาไนด์ เรียกได้ว่ากรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ฟังได้ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อประโยชน์เเห่งการชิงทรัพย์ พยานหลักฐาน

จำเลยที่ 2 (พ.ต.ท.วิฑูรย์) ทราบว่าตำรวจกำลังตามหาของกลาง ที่มีประเด็นหลักฐานสำคัญซึ่งเป็นกระเป๋าของกลางไปส่งให้กับจำเลยที่1 แทนที่จะนำไปให้พนักงานสอบสวน ตามคำยุยงของจำเลยที่ 3  

ส่วนจำเลยที่ 3 (ทนายพัช) ในฐานะเป็นทนายความที่จำเลยที่1 ให้ความเชื่อถือ ได้ยุยงให้จำเลยที่1 ปกปิดกระเป๋าซึ่งเป็นของกลางในคดี เพื่อเป็นแนวทางในการชนะคดี พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่าจำเลยที่3 ได้คุยและส่งผลคำพิพากษาศาลฎีกาที่ชนะคดีได้โดยไม่มีของกลางให้จำเลยที่1 และ 3 อ่านในกลุ่มไลน์ที่สร้างขึ้น เพื่อจูงใจ ให้จำเลย ซ่อนเร้นพยานหลักฐานในคดีการกระทำจึงไม่ใช่แค่การให้คำแนะนำทางกฎหมายแต่เป็นการยุยงให้จำเลยที่ 2 กระทำความผิด ซึ่งอาชีพทนายความเป็นอาชีพที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีแต่จำเลยกลับกระทำการให้มีการทำผิดกฎหมาย

พยานโจทก์เเละโจทก์ร่วมมีน้ำหนัก ศาลรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ถึง 3 กระทำผิดตามฟ้อง ส่วนทางคดีแพ่ง โจทก์ร่วมขอให้ชดใช้ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าควรชำระค่าขาดอุปการะ ค่าปลงศพเเละค่าเสียหายจากทรัพย์พร้อมดอกเบี้ย ให้ชำระให้โจทก์ร่วม เป็นเงิน 2,343,588 ล้านบาท

ศาลพิพากษาว่าจำเลยทั้ง 3 กระทำผิดตามฟ้อง เห็นว่าการกระทำของนางสรารัตน์ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทหนักสุด ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อกระทำอย่างอื่น พิพากษาประหารชีวิต ส่วนพ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ อดีตสามี และอดีตรองผกก.สภ.สวนผึ้ง จำเลยที่ 2 และ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัตร์ หรือ ทนายพัชจำเลยที่ 3 มีความผิดฐานช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง และซ่อนเร้นทำลายหลักฐาน ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี เเต่ พ.ต.ท.วิฑูรย์ จำเลยที่ 2 ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน เเละให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายเเก่โจทก์ร่วม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับคดีนี้ศาลใช้เวลาอ่านคำพิพากษาประมาฯ 3 ชั่วโมงเศษ ตั้งเเต่ช่วง 09.30 - 12.30 น.เศษ บรรยากาศเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์เบิกตัว แอม มาจากทัณฑสถานหญิงกลาง เจ้าตัวมีสีหน้าเรียบเฉย สวมแว่นตา สวมหน้ากากอนามัยสีน้ำเงิน ร่างกายซูบผอมลง และตลอดการฟังคำพิพากษา แอม หันมาคุยกับ ทนายพัช ตลอด โดยไม่หันไปทางสามี (จำเลยที่ 2) เลยเเละมีอาการเคร่งเครียด

ส่วนทนายพัช (จำเลยที่ 3) และพันตำรวจโทวิฑูรย์ (จำเลยที่ 2) สีหน้าเรียบเฉย ตลอดการฟังคำพิพากษา และทันทีที่ ได้ยินคำพิพากษา จำเลยทั้ง 3 คน ไม่มีท่าทีสลดหรือแสดงอาการเสียใจ และมีบางจังหวะที่จำเลยทั้ง 3 หันมาคุยกันแล้วหัวเราะออกมา ส่วนมารดาและครอบครัวของนางสาว ก้อย ผู้เสียชีวิต หลังฟังคำพิพากษาต่างก็ร้องไห้โฮ กอดกันด้วยความดีใจและโผเข้ากอดกัน

ขณะที่มีรายงานว่าจำเลยทั้ง 3 คน แอม ยืนตรงกลาง ทนายพัช ยืนด้านซ้าย สามียืนด้านขวา ซึ่งทั้ง 3 คน ได้ศาลสั่งให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ นำกุญแจมือมาสวม และให้จำเลยทั้ง 3 ยืนฟังคำพิพากษาตลอดเวลาเกือบ 4 ชั่วโมง (ทนายพัช สวมชุดทนาย) ซึ่งโดยปกติหากมีการอ่านคำพิพากษานาน ศาลจะอนุญาตให้นั่งฟังได้และปกติหน้าบัลลังก์ไม่ต้องใส่กุญแจมือ

ขณะที่ครอบครัวของนางสาวศิริพร หรือก้อย เดินทางมาที่ศาลอาญา ตั้งแต่ 09.00 น พร้อมทีมทนายความ เพื่อฟังคำพิพากษา ภายหลังมีคำพิพากษานางพิน แม่ของนางสาวก้อย ยืนกอดรูปลูกสาวเปิดใจทั้งน้ำตา ก่อนจะมาฟังคำพิพากษา ตนบอกลูกสาวให้ขึ้นรถไปกับแม่ เพราะถ้าจบคดีเมื่อไหร่ลูกสาวก็จะได้ไปสู่สุขคติเชื่อว่าลูกสาวยังห่วงเรื่องคดี หากกลับถึงบ้านจะจุดธูปบอกลูกสาวว่า “สำเร็จแล้วนะลูก เขาได้รับกรรมเขาแล้ว ไปภพหน้าภพไหนขอให้ไปสบาย จะทำบุญกรวดน้ำไปให้ หากไม่ตัดสินประหารชีวิตแม่ก็จะเสียใจไม่น้อย แต่แม่ก็พอใจในคำตัดสินของศาล เขายุติรรมพอ วินาทีที่ศาลตัดสินประหารชีวิต ตนนั่งกอดรูปลูกสาวและร้องไห้บอกว่าได้รับความยุติธรรมแล้วนะ ความยุติธรรมมีจริง เตือนทุกท่านอย่าหลงกลคนใกล้ตัวอย่าไว้ใจมันเป็นบทเรียน แม่ต้องเสียลูกแม่คนดี ๆ”

นางทองพิน ยังกล่าวขอบคุณที่ศาลที่ให้ความยุติธรรม และอยากจะบอกกับลูกสาวว่า “ได้รับความเป็นธรรมแล้ว ขอให้นอนหลับให้สบาย ไม่มีอะไรที่ต้องห่วง”นางทองพิน ยังบอกอีกว่า ทันทีที่ได้เจอหน้า แอม ไซยาไนด์ ในห้องพิจารณาคดี ด้วยความที่ตนยังรู้สึกโกรธแค้นไม่อยากจะมองหน้า แต่พอเหลือบไปเห็นสายตาแอม ก็ยังดูปกติ ไม่มีท่าทีสลดยังยิ้มแย้มแจ่มใส ขนาดศาลมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิต แอมก็ยังดูเป็นปกติ

นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หนึ่งในทีมทนายความ เผยว่า วันนี้ศาลได้ให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหาย ซึ่งวันนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ศาลพิพากษา แต่มีการพูดถึงพยานจากคดีอื่นด้วย โดยครั้งนี้ทนายเดชา ระบุว่า ศาลอ่านคำพิพากษาที่นานมากกว่า 3 ชั่วโมง ไม่เคยเห็นการอ่านคำพิพากษาที่นานขนาดนี้ ใช้ผู้พิพากษา 4 คน อ่านคำพิพากษาคนละ 40 นาที โดยประมาณ   ซึ่งสามารถนำคำพิพากษาในคดีนี้เป็นแนวทางในการพิพากษาคดีอื่นที่เกี่ยวกับแอมและมีการเสียชีวิตอีกด้วย ส่วนคดีอื่นที่เกี่ยวกับแอม พนักงานอัยการจะนำสำนวนอีก 14 คดี ของ แอม ไซยาไนด์ มามอบให้กับศาลในวันอังคาร ที่จะถึงนี้

นอกจากนี้ทนายเดชา ยังเผยอีกว่า  ก่อนหน้านี้ศาลได้นัดไต่สวน และจำเลยที่ 1 (นางสรานรัตน์ หรือแอม) ปฏิเสธที่จะเบิกความต่อหน้าศาล ซึ่งทนายเดชา มองว่า เป็นสิทธิ์ที่จะทำได้ ขณะที่ พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒฒาภรณ์ จำเลยที่ 2 แจ้งต่อศาลว่าไม่ปรากฏหลักฐานที่ชัดเจนว่าเป็นผู้นำกระเป๋าซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในคดีไปการซ่อนเร้นอำพราง ส่วนนางสาวธัญนิชา เอกสุวรรณวัฒน์ หรือทนายพัช จำเลยที่ 3 ได้เบิกความต่อศาลขอต่อสู้ในประเด็นไม่ปรากฏประจักษ์พยานว่าขณะเกิดเหตุไม่มีใครพบเห็นว่ายาพิษเข้าสู่ร่างกายผู้ตายได้อย่างไร จึงแจ้งต่อศาลว่าทำให้คดีมีข้อสงสัย ซึ่งส่วนตัวมองว่าแม้จำเลยทั้ง 3 จะให้การอย่างไร ก็มั่นใจในหลักฐานว่าจะสามารถทวงคืนความยุติธรรมได้

นอกจากนี้ นายรพี ชำนาญเรือ ยังเผยทิ้งท้ายไว้ว่า เวลาผ่านมาแล้ว 19 เดือน 6 วัน ที่คดีของแอม ไซยาไนด์ ปรากฎขึ้นมาบนสื่อและทาง พนักงานสอบสวนได้มีการส่งสำนวนให้กับอัยการไปแล้ว 15 คดี ซึ่งวันนี้ (20 พ.ย.)จะเป็นการตัดสินในคดีแรก

ด้าน น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ หรือ ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง เปิดเผยถึงคดีแอมไซยาไนด์ ว่าหลังจากที่ตนไปฟังคำพิพากษา ที่เป็นการฟังคำพิพากษายาวนานที่สุดตั้งแต่เคยเจอกว่า 3 ชั่วโมง โดยญาติผู้เสียชีวิตก็มีความกังวลว่าศาลจะยกฟ้องหรือไม่ เพราะทนายฝั่งของแอมได้มีการให้เหตุผลว่า ไม่ได้เห็นการกระทำของแอมในระหว่างการวางยา แต่เมื่อผู้พิพากษาอ่านพฤติการณ์แรงจูงใจของแอมตั้งแต่ปี 65-66 พบว่าเป็นช่วงที่แอมติดการพนันหนักที่สุด และมีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 90 ล้านบาท และเป็นช่วงเวลาที่มีผู้เสียชีวิตร่วงหล่นเป็นใบไม้ถึง 12 ราย บวกอีก 2 ราย ที่รอดชีวิต นับว่าเป็นการฆ่าเพื่อปลดหนี้ จึงมีคำตัดสินว่าให้ประหารชีวิต

ซึ่งระหว่างการอ่านคำพิพากษา ก็มีการกล่าวถึงการเสียชีวิตของแต่ละคนที่มีความคล้ายคลึงกันทั้งหมด แล้วก็ที่สำคัญ คือ พยานหลักฐานที่ได้มา พบว่าแอมมีการพยายามทำลายหลักฐานโดยมีทนายแนะนำ ซึ่งหลังจากที่ผู้พิพากษาอ่าน ทางด้านแอมก็ไม่ได้มีท่าทีเสียใจ ไม่ได้ร้องไห้ ไม่สลดและยิ้มแย้มแจ่มใสหัวเราะกับทนายในศาลเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ไม่กล้าสบตาฝั่งตน ทำให้ญาติผู้เสียชีวิตตั้งข้อสงสัยว่า ไม่สลดเลยหรืออย่างไร กับเหตุการณ์ที่ได้กระทำลงไป

โดยในระหว่างที่ผู้พิพากษาอ่านคำตัดสินประหารชีวิตแอม ทางตนและญาติผู้เสียชีวิตก็กอดกันร้องไห้ แต่ทางทนายก็หันมาบอกว่า “อย่าเสียงดัง” พร้อมกับทำเสียงจุปาก“ ตนจึงรู้สึกสงสัยขณะที่คุณใส่กุญแจมืออยู่ คุณยังมีหน้าหันมาบอกว่าอย่าเสียงดังอีกหรือ” น.ส.ชลิดา กล่าว

น.ส.ชลิดา กล่าวเพิ่มเติมว่า แต่อย่างน้อยฝั่งญาติผู้เสียชีวิตก็ดีใจที่ยังมีความยุติธรรมให้แก่ผู้เสียชีวิต ซึ่งในวันอังคาร (26 พ.ย.) ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลางก็จะมีการส่งสำนวนไปที่อัยการอีก 14 เคส แต่ก็เห็นว่าทางฝั่งทนายจะมีการยื่นอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหมด โดยในวันนี้ตนสังเกตเห็นว่า แอมแต่งหน้าสวย ทาปากแดง ต่อขนตาสวย สภาพร่างกายต่างจากครั้งแรกที่เจอ เพราะน่าจะมีความมั่นใจในการยื่นอุทธรณ์แล้วชนะคดี แต่ทางด้านทีมทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ก็ยังทำงานกันต่อเนื่อง แต่ก็ต้องพึ่งพาอัยการด้วย

นอกจากนี้ตนพบว่าขณะที่ตัวแอม เข้าเรือนจำนั้น ได้มีการตั้งครรภ์ประมาณ 4-5 เดือน แต่ก็พบว่าแท้งในอายุครรภ์ 7 เดือน จากพฤติกรรมที่ไม่ดูแลตัวเอง ไม่กินข้าวไม่ดื่มน้ำจนทำให้ขาดสารอาหาร โดยแอมได้มีการเปิดเผยว่าไม่อยากเอาเด็กคนนี้ไว้ ถึงแม้ว่าการเก็บเด็กไว้จะทำให้ไม่โดนโทษประหาร จากสิ่งนี้จึงทำให้ตั้งข้อสังเกตได้ว่า แอมอาจมีความมั่นใจในคำพูดของทนายว่าอย่างไรก็รอด



รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/4hSXtZZ13pE

คุณอาจสนใจ

Related News