อาชญากรรม

'ชูวิทย์' ยกเป็นอุทาหรณ์ ตร.ไทย หลังศาลฟัน 4 ตร.ห้วยขวาง คุก 5 ปี รีดเงินสาวไต้หวัน

โดย nattachat_c

9 พ.ย. 2566

59 views

วานนี้ (8 พ.ย.66) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาจำคุก 4 อดีตตำรวจ สน.ห้วยขวาง คนละ 5 ปี ในคดีรีดทรัพย์ ค่าบุหรี่ไฟฟ้า - ไม่พกพาสปอร์ต จากดาราสาวไต้หวัน กับเพื่อนชาวต่างชาติ และให้คืนเงิน 27,000 บาท ส่วนตำรวจที่เหลืออีก 2 นาย ยกฟ้อง


โดยคดีนี้ เริ่มต้นมาจากดาราสาวชาวไต้หวัน 'ชาลีอัน' ซึ่งเดินทางมาเที่ยวในประเทศไทย พร้อมกับกลุ่มเพื่อนชาวต่างชาติ


ต่อมา เมื่อคืนวันที่ 5 มกราคม ที่ผ่านมา 'ชาลีอัน' ซึ่งนั่งอยู่ในรถแท็กซี่ ได้ถูกตำรวจ สน.ห้วยขวาง ซึ่งตั้งด่านตรวจอยู่ที่บริเวณหน้าสถานทูตจีน เข้าตรวจค้นในระหว่างที่นั่งรถแท็กซี่กลับโรงแรม


จากการตรวจค้น พบว่า 'ชาลีอัน' ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า จน 'ชาลีอัน' กับเพื่อนที่มาด้วยกัน ต้องจ่ายเงินให้ตำรวจ 27,000 บาท เพื่อแลกกับอิสรภาพ


เรื่องนี้ได้กลายเป็นที่น่าสนใจของสังคม หลัง 'ชาลีอัน' ซึ่งเดินทางกลับประเทศไปแล้ว ได้โพสต์ข้อความลงในอินสตราแกรมของเธอว่า “ถูกตำรวจไทยรีดไถเงิน”

-------------

ต่อมานายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้เปิดตัวพยานปากสำคัญ คือ 'สกาย' ชาวสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเพื่อนกับ 'ชาลีอัน' และอยู่ในเหตุการณ์กับ 'ชาลีอัน' ในคืนวันที่ถูกตำรวจตรวจค้น แล้วรีดเงิน


โดย 'สกาย' ยืนยันว่า ถูกตำรวจรีดเงิน หลังพบบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน ถูกเรียกเงินอันละ 8 พันบาท รวม 24,000 บาท ส่วนอีก 3 พัน เป็นค่าไม่พกพาสปอร์ต ทำให้ยอดรวมที่ต้องจ่ายเป็น 27,000 บาท


สุดท้าย เรื่องนี้ทางกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 ได้มีคำสั่งให้ตำรวจ สน.ห้วยขวาง 6 นาย ที่ถูกกล่าวหาว่ารีดเงิน ออกจากราชการไว้ก่อน พร้อมทั้งแจ้งข้อหาปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

--------------

จนกระทั่ง วานนี้ (8 พ.ย. 66) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำพิพากษาคดีนี้ ซึ่งมีพนักงานอัยการ สํานักงานคดีปราบปรามการทุจริต 3 เป็นโจทก์ ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นตำรวจ สน.ห้วยขวาง ทั้ง 6 นาย  ประกอบด้วย


  • ร้อยตำรวจเอกยอดฤทธิ์ ลางคุลเสน รองสารวัตรป้องกันปราบปราม สน.ห้วยขวาง เป็นจำเลยที่ 1
  • ร้อยตำรวจเอก ปฏิญาณ ศิริชัยวัฒนา เป็นจำเลยที่ 2
  • สิบตำรวจเอกนันทวัชร์ สุวรรณา เป็นจำเลยที่ 3
  • ดาบตำรวจกฤษฎา คำมะนา เป็นจำเลยที่ 4
  • สิบตำรวจเอกเฉลิมชัย ศิริวังโส เป็นจำเลยที่ 5
  • สิบตำรวจเอกวัชรนนทร์ ขาวผ่อง เป็นจำเลยที่ 6


ศาลพิเคราะห์จากพยานหลักฐานแล้ว มีความเห็นว่า จำเลยที่ 1 - 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 173 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83  


การกระทำของจำเลยที่ 1-4 เป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จึงสั่งจำคุกคนละ 5 ปี


โดยจำเลยที่ 1 นั้น แม้จะอ้างว่าขณะเกิดเหตุปฏิบัติหน้าที่ อยู่ที่รถยนต์สายตรวจห่างออกไป 30 เมตร ไม่ได้เข้ามาพูดคุยหรือรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

แต่ปรากฎข้อเท็จจริง จากคำเบิกความของจำเลยที่ 3 ว่า ขณะตรวจค้นตัว นาย ป. ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ จำเลยที่ 3 เดินไปเพื่อรายงานให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการทราบ


หลังจากนั้น จำเลยที่ 1 บอกว่า ให้จำเลยที่ 2 ใช้ดุลยพินิจตัดสินใจได้ เพราะจำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าชุดเหมือนกัน ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการ ย่อมต้องรับรู้ และรับผิดชอบ ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่อาจปฏิเสธความรับผิดได้


ส่วนจำเลยที่ 4 นั้น ปรากฎข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 4 เป็นผู้ตรวจค้นตัวกลุ่มผู้เสียหาย

ประกอบกับการที่ นาย ป. ตอบคำถามของทนายจำเลยที่ 4 ที่ขออนุญาตศาล ถามว่า ระหว่างที่นาย ป. พูดคุยเจรจาอยู่กับจำเลยที่ 2-3 นั้น จำเลยที่ 4 เดินไปเดินมา และบางครั้งก็เข้ามาพูดกับนาย ป. กับพวกว่า คนสิงคโปร์เดินทางเข้าประเทศไทยต้องขอวีซ่า จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 4 รับรู้ และมีส่วนร่วมเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดด้วย


ส่วนจำเลยที่ 5-6 ให้ยกฟ้อง

เนื่องจากการสืบพยาน พบว่า จำเลยที่ 5 ทำหน้าที่เพียงเรียกตรวจบริเวณด้านหน้าด่าน และปฎิบัติหน้าที่อยู่บริเวณหน้าด่าน ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวเหตุการณ์ที่เกิด


ส่วนจำเลยที่ 6 แม้ว่า จะอยู่ในชุดที่ทำหน้าที่เรียกตรวจค้นตัวบุคคล ในตอนแรก

แต่ต่อมา เมื่อผู้เสียหายที่เป็นสาวชาวไต้หวัน เริ่มหยิบโทรศัพท์มาบันทึกภาพ และเกิดการโต้เถียงกันเกิดขึ้น ก็มีจำเลยที่ 2 และ ที่ 3 เดินเข้ามาทำหน้าที่แทน  


ส่วนตัวจำเลยที่ 6 ได้เดินกลับไปปฎิบัติหน้าที่ ที่บริเวณเกาะกลาง  ก่อนจะกลับมาอีกครั้ง ในเวลา 03:15 น. ซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งหมด ไม่อยู่ในจุดเกิดเหตุแล้ว จึงเชื่อว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดดังกล่าว


ทั้งนี้ ในส่วนของเงินจำนวน 27,000 บาทที่จำเลยที่ 1-4 ได้มาจากการกระทำความผิดต่อหน้าที่ให้ตกเป็นของแผ่นดิน


และเงินจำนวนดังกล่าวจำเลยที่ 1-4 ต้องร่วมกันชำระคืนแก่ผู้เสียหายด้วย

-------------

ด้าน ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ ได้โพสต์เรื่องนี้ โดยบอกว่า คดีตั้งด่านรีดไถนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นอุทาหรณ์ให้กับตำรวจไทย


“คดีนี้เป็นคดีตัวอย่าง และเป็นอุทาหรณ์ให้กับตำรวจไทย


เมืองไทยเป็นเมืองท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามากมาย จึงเป็นเรื่องของภาพลักษณ์


พยานสำคัญของคดีนี้เป็นชาวไต้หวัน และชาวสิงคโปร์ที่ตั้งใจมาเที่ยวเมืองไทย เพราะมีความประทับใจในประเทศไทย แต่ตำรวจไทยกลับทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติจดจำว่าประเทศไทยตั้งด่านรีดไถ แทนที่จะดำเนินคดีตามกฎหมาย


แรกๆ ที่เน็ตไอดอลไต้หวัน (ชาลีน) ออกมาพูด ตำรวจ บชน. รีบออกมาปฏิเสธปกป้องลูกน้องตัวเองทั้งที่ไม่ควรปกป้อง และควรทำความจริงให้ปรากฏ หากกระทำผิดจริงควรยอมรับ


วันนี้ศาลจึงได้ตัดสินจำคุกตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการตั้งด่านรีดไถห้วยขวาง 4 คน คนละ 5 ปี ผมขอแสดงความเสียใจ แต่จำเป็นต้องทำเพื่อให้สังคมได้ทราบความจริง และเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก

-------------

รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/NeyN6yVNJ4w

คุณอาจสนใจ

Related News