อาชญากรรม

กลับมาสู้คดี! เจ้าของ 'ดารุมะ' ปัดเจตนาฉ้อโกง เผยขายคูปองราคาถูก เอาเงินมาหมุนได้วันละล้าน

โดย nattachat_c

23 มิ.ย. 2565

118 views

จากกรณี มีข้อกล่าวหาว่า บอนนี่ หรือ นาย เมธา เจ้าของกิจการร้านซูชิ 'ดารุมะ' ที่ทำการขายวอชเชอร์ทานบุฟเฟต์ซาชิมิราคาถูก แล้วหลบหนีออกนอกประเทศ จนเป็นข่าวดัง ตั้งแต่วันที่ 17 มิ.ย. 65 


วานนี้ (21 มิ.ย. 65) เวลาประมาณ 11.10 น. สายการบินอีวีเอ แอร์ ของประเทศไต้หวันแลนด์ดิ้งที่ประเทศไทย โดยมี นาย เมธา หรือ บอนนี่ โดยสารมาในเครื่องบินลำนี้ ทันทีที่ผ่านสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ก็ถูกตำรวจกองปราบปรามเข้าควบคุมตัวทันที ก่อนจะนำตัวขึ้นรถตู้ แล้วเข้ากองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับผู้บริโภค หรือ ปคบ. ทันที


จากการตรวจสอบพบว่า บอนนี่ เดินทางออกจากประเทศไทย เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ที่ผ่านมา ด้วยสายการบินเอมิเรตส์ แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ EK 385 เวลา 5 ทุ่ม ปลายทางที่นครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จากนั้นต่อเครื่องไปที่สหรัฐอเมริกา ต่อมาวันที่ 21 มิถุนายน บินออกจากสหรัฐอเมริกามาที่ประเทศไต้หวัน แล้วต่อเครื่องของสายการบิน อีวีเอ แอร์ เที่ยวบินที่ BR211 เวลา 7 โมงครึ่ง มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ตอน 11.10 น. ซึ่งการเดินทางทั้ง 2 ครั้ง เป็นการเดินทางไปคนเดียว


ซึ่งจากการที่ตำรวจได้ตรวจสอบเงินทุนหมุนเวียนของร้านดารุมะ พบว่า มีอยู่ประมาณ 303 ล้านบาท ส่วนการขายวอชเชอร์ผ่านแอปฯ พบว่า มียอดขาย 147,000 กว่าใบ และมีลูกค้า 33,002 คน คิดเป็นเงิน 27,070,000 กว่าบาท ส่วนค่าเสียหายของการซื้อแฟรนไชส์มีมูลค่า 17,500,000 บาท 


เวลา 14.30 น. พล.ต.ท.จิรภพ พร้อมด้วยผู้ตำรวจ ปคบ. ตั้งโต๊ะแถลงข่าวผลการจับกุม ระบุว่าจากการสืบสวน ผู้ต้องหาหลบหนีออกจากประเทศไทย ตั้งแต่ช่วงกลางดึกวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา ไปเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และมีปลายทางอยู่ที่สหรัฐอเมริกา โดยลงเครื่องที่สนามบิน JFK นิวยอร์ค จึงได้ประสานกับ เจ้าหน้าที่ Homeland Security หรือ กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา


กระทั่งเมื่อเวลา 11.00 น. ผู้ต้องหา ได้บินกลับมายังประเทศไทย โดยชุดสืบสวนสอบสวนมีการติดตามความเคลื่อนไหวของผู้ต้องหารายนี้มาโดย จึงทราบว่าจะเดินทางกลับไทยวันนี้ จึงนำกำลังไปดักรอที่สนามบิน และเข้าจับกุมทันทีที่เขาเดินทางมาถึง และคุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย


โดย การจับกุมนาย เมธา อายุ 39 ปี ทั้งในฐานะนิติบุคคลและฐานะบุคคล ตามหมายจับศาลอาญาที่เพิ่งไปขอศาลเมื่อวานนี้ (22 มิ.ย. 65) โดยมีข้อหาคือ ร่วมกันฉ้อโกง ร่วมกันทุจริต หรือโดนหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อความอันเป็นบิดเบือนหรือปลอม


สรุป คือ 

1. ฉ้อโกงประชาชน

2. พรบ.คอมพ์


เมื่อถามว่าผู้ต้องหามีทรัพย์สินอยู่เท่าไหร่ จะยึดมาคืนผู้เสียหายได้หรือไม่ พล.ต.ท.จิรภพ ย้ำว่า ขณะจับกุมเจ้าหน้าที่ตรวจยึด เงินสด 20,186 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 710,000 บาท 


โดยมีผู้เสียหายหลายกลุ่ม ดังนี้ 

1. ผู้ซื้อวอชเชอร์ 33,002 คน

2. ผู้ซื้อแฟรนไชส์ 21 สาขา 

3. ซัพพลายเออร์ที่ส่งวัตถุดิบอาหาร และด้านอื่นๆ โดยเรื่องนี้ ที่แดงออกมาเพราะ ซัพพลายเออร์ ไม่ส่งของ เพราะนายเมธาไม่จ่ายเงิน และยังไม่ได้อีก 30 ล้าน

4. ผู้ที่ซื้อวอชเชอร์ เพื่อนำมาขายต่อ


จากการสอบปากคำเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การว่า ได้ทำธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2559 แต่ช่วงโควิดที่ผ่านมาเริ่มประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง จึงขายโปรโมชั่นคูปองออนไลน์ ตั้งแต่ปี 2563


และเมื่อเดือนมกราคม 2565 ที่ผ่านมาก็ ค่อยๆ ลดราคาลงมาเหลือ 199 บาท ซึ่งถูกกว่าความเป็นจริงมาก โดยมีจุดประสงค์เพื่อนำเงินเข้ามาหมุนเวียนในระบบ และจากการขายโปรโมชั่นคูปอง มียอดขายวันละมากกว่า1 ล้านบาท เข้าระบบ


แต่เมื่อโดนทวงหนี้สินจำนวนมากกว่า 100 ล้านบาท จึงตัดสินใจหลบหนีไปสหรัฐอเมริกา และเมื่อเห็นข่าวถูกกดดันจากหลายทาง จึงตัดสินใจเดินทางกลับมาที่ประเทศไทย


พล.ต.ท.จิรภพ เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาให้การปฎิเสธว่าไม่ได้เจตนาฉ้อโกง ซึ่งเป็นเพียงคำกล่าวอ้างของผู้ต้องหาเท่านั้น ตำรวจยังไม่ได้ปักใจเชื่อ แต่มั่นใจว่าพยานหลักฐานที่มีอยู่ตอนนี้ สามารถดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าการเดินทางออกนอกประเทศของผู้ต้องหาเพื่อโยกย้ายทรัพย์หรือไม่ พล.ต.ท.จิรภพ ตอบว่า ก็มีความเป็นไปได้ แต่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ซึ่งตำรวจจะดูจากพยานหลักฐานเป็นหลัก และการที่กลับมา เชื่อว่าเกิดจากการถูกกดดัน และผู้ต้องหาอาจต้องการกลับมาสู้คดี


ยืนยันว่าการได้ตัวผู้ต้องหา ไม่ใช่เป็นการกลับมามอบตัว เพราะพฤติการณ์บินไปแล้วปิดร้านทันที ชี้นำได้ว่าเป็นการหลบหนี ซึ่งในชั้นพนักงานสอบสวน ไม่ให้ประกันตัว และจะคัดค้านการประกันตัวในชั้นศาลด้วย โดยในวันนี้ (23 มิถุนายน 2565 ) จะส่งตัวฝากขังทันที


พล.ต.ท.จิรภพ ย้ำว่า ณะจับกุมเจ้าหน้าที่ตรวจยึด เงินสด 20,186 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 710,000 บาท


ส่วนการตรวจสอบทรัพย์สินอื่นๆ อยู่ระหว่างการดำเนินการ เบื้องต้นได้อายัดเงินในบัญชีธนาคารมาแล้วหลักแสน ซึ่งอยู่ระหว่างการประสานขอข้อมูลเส้นทางการเงิน คาดว่าจะใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์ถึงหนึ่งเดือน และจะต้องสืบสวนต่อไปว่ามีทรัพย์สินอื่นๆ ซุกซ่อนอยู่ที่ใดอีกหรือไม่


แต่หากพบว่ามีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน ก็จะเอาผิดเพิ่มเติมตาม พ.ร.บ.การฟอกเงิน และหากพบว่ามีผู้เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ก็จะดำเนินการเอาผิดด้วยเช่นกัน


เบื้องต้นแจ้ง 2 ข้อหา คือฉ้อโกงประชน และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เรื่องการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/VqLiwdQH3iE




คุณอาจสนใจ

Related News