อาชญากรรม
"สันติ" ปฏิเสธฆ่า 2 สามีภรรยาในไต้หวัน พร้อมซัดทอดผู้ก่อเหตุ
โดย paranee_s
17 มิ.ย. 2565
700 views
เมื่อเวลา 14.50 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมาน ได้ควบคุมตัว นายสันติ ศุภอภิรดีไพลิน อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาก่อเหตุฆ่า 2 สามีภรรยาและลูกแฝดในท้องรวม 4 ราย ที่ประเทศไต้หวัน และหลบหนีเข้าในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ มาที่กองบังคับการปราบปราม หลังจากที่นายสันติเข้ามอบตัวเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (17 มิ.ย. 2565)
โดยหลังจากที่เครื่องบินเล็กมาลงจอดที่กองบินตำรวจ ดอนเมืองแล้ว เจ้าหน้าที่ได้คุมตัวนายสันติ นั่งรถยนต์ส่วนบุคคล 7 ที่นั่ง ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวอยู่ และผู้ต้องหาได้สวมใส่เสื้อสีเขียว สวมหมวกแก๊บ นั่งอยู่ภายในรถ แต่ทันทีที่มาถึงกองบังคับการปราบปราม รถคันดังกล่าวได้ขับวนไปวนมา โดยไม่ได้จอดรถให้ผู้ต้องหาลงจากรถ จากนั้นก็ขับออกไป จึงไม่ทราบว่า เจ้าหน้าที่จะคุมตัวนายสันติ ไปสอบปากคำที่ใด
ต่อมา เวลา 16.30 น. พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เดินทางมาสอบปากคำนายสันติ ที่ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการปราบปราม โดยผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามนายสันติว่า ได้ทำจริงหรือไม่ นายสันติ ส่ายหน้าปฏิเสธยืนยันว่าไม่ได้ทำ และได้ให้การกับตำรวจไปหมดแล้ว พร้อมขอไม่ตอบคำถามอื่นๆ อีก ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาการสอบปากคำกว่า 15 นาที นายสันติ มีสีหน้าเรียบเฉย
จากนั้น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้แถลงข่าวการจับกุม โดยระบุว่า นายสันติ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ซึ่งได้รับการประสานงานจากไต้หวัน และญาติผู้เสียชีวิตในไทย ซึ่งได้ร้องทุกข์ขอดำเนินคดี จึงขอศาลออกหมายจับได้ และเมื่อเช้านี้ได้รับการติดต่อประสานงานจากพ่อของผู้ต้องหานำตัวมาส่งมอบ
เบื้องต้นจากการสอบปากคำ ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ แต่ให้การเป็นประโยชน์มาก ซึ่งหลังจากนี้ตำรวจมีการพูดคุยการทำงานร่วมกับทางไต้หวันต่อไป โดยหากจำเป็นอาจจะต้องส่งเจ้าหน้าที่ไปที่ไต้หวัน เพื่อประสานเรื่องพยานหลักฐานมาประกอบการสอบสวนขยายผล โดยมีเวลาจำกัดที่จะต้องส่งฟ้องให้ทันภายใน 84 วัน
สำหรับการหลบหนีในประเทศไทยของผู้ต้องหา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติบอกว่า 1-2 วันแรก ผู้ต้องหายังตั้งหลักไม่ได้มีการเสียเวลาหลบหนีไปบ้าง แต่สุดท้ายได้ตัดสินใจข้ามชายแดนไปประเทศเพื่อนบ้าน ตำรวจจึงได้ประสานให้พ่อของผู้ต้องหาเข้าไปพูดคุย และขอให้เดินทางกลับเข้ามา ส่วนผู้ที่ให้การช่วยเหลือในการหลบหนี ตอนนี้มีข้อมูลแล้ว แต่ต้องรวบรวมพยานหลักฐานต่อไปว่าผู้ช่วยเหลือทราบหรือไม่ว่านายสันติตกเป็นผู้ต้องหา หากทราบก็จะมีความผิดด้วยแน่นอน
จากการสอบปากคำเบื้องต้น ผู้ต้องหาไม่ได้มีความกังวลอะไร โดยยังคงยืนยันคำให้การภาคเสธ บอกว่าไม่ได้ลงมือฆ่าเอง แต่มีส่วนรู้เห็น ซึ่งตำรวจจะเชื่อหรือไม่ ก็ต้องดูตามพยานหลักฐานที่จะได้เพิ่มเติมจากทางการไต้หวัน แต่สิ่งที่ผู้ต้องหาพูดมาถือว่าพอฟังได้ ส่วนเรื่องแรงจูงใจผู้ต้องหาได้มีการให้การบ้างแล้ว แต่หากพูดไปจะกระทบกับผู้เสียชีวิตด้วย แต่บอกได้ว่าไม่ค่อยตรงกับกระแสข่าวที่ออกไปก่อนหน้านี้นัก
ส่วนการซัดทอดถึงบุคคลที่ร่วมขบวนการ หรือเป็นบุคคลที่ลงมือฆ่า ผู้ต้องหาก็มีการพูดถึงแล้ว แต่ตำรวจขอสงวนข้อมูลเอาไว้ก่อน ซึ่งตำรวจเองก็เชื่อว่าเรื่องนี้น่าจะต้องมีผู้ก่อเหตุมากกว่าหนึ่งคน แต่ต้องดูตามพยานหลักฐานอีกครั้ง ซึ่งหากภายหลังพบว่ามีผู้มีส่วนร่วม ซึ่งอาศัยอยู่ในไต้หวัน ก็อาจจะดูความเป็นไปได้ว่าจะขอให้ส่งตัวมาดำเนินคดีที่ไทยได้หรือไม่
พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม ระบุว่า ขั้นตอนต่อไป พนักงานสอบสวนกองปราบปราม จะทำหนังสือเรียนอัยการสูงสุด เนื่องจากเข้าข่ายคดีระหว่างประเทศ ซึ่งทางอัยการสูงสุดอาจจะแจ้งให้ทางพนักงานอัยการเข้ามาร่วมสอบสวนกับพนักงานสอบสวน แต่จะเป็นอำนาจของใครอย่างไร สุดท้ายแล้วต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของอัยการสูงสุด