สถานการณ์การแพร่ระบาดของ 'โอไมครอน' ประเทศเพื่อนบ้านของไทย ทั้ง มาเลเซียและสิงคโปร์ พบผู้ติดเชื้อโควิด นายน์ทีนสายพันธุ์ “โอไมครอน” แล้ว ขณะที่องค์การอนามัยโลกเตือนให้ประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย-แปซิฟิกเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับเชื้อกลายพันธุ์นี้ จนถึงขณะนี้ มีประเทศที่พบเชื้อ "โอไมครอน" แล้ว กว่า 30 ประเทศทั่วโลก

ที่ญี่ปุ่น นายทาเคชิ คาไซ (Takeshi Kasai) ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) ประจำภาคพื้นแปซิฟิกตะวันตก กล่าวว่า ทุกประเทศควรเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนต้านโควิด นายน์ทีนให้กับประชาชน และเตรียมระบบสาธารณสุขให้พร้อมเพื่อรับมือกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด นายน์ทีนที่เพิ่มสูงขึ้น จากเชื้อกลายพันธุ์ “โอไมครอน” โดยมองว่า “การปิดพรมแดนเป็นเพียงแค่การซื้อเวลาเท่านั้น”

คาไซบอกว่า เรารู้แต่เพียงว่า โอไมครอน เป็นเชื้อโควิดสายพันธุ์ที่น่าวิตก เนื่องจากพบตำแหน่งการกลายพันธุ์เป็นจำนวนมาก ซึ่งนั่นหมายความว่า โอไมครอนอาจจะแพร่ระบาดได้รวดเร็วกว่า เชื้อกลายพันธุ์ตัวอื่นๆ จำเป็นต้องมีการทดสอบและสังเกตการณ์มากกว่านี้แต่ก็ย้ำว่า มาตรการที่ใช้รับมือโควิดเดลต้า ก็สามารถนำมาใช้รับมือโอไมครอนได้เช่นกัน

ขณะเดียวกัน ประเทศเพื่อนบ้านของไทย ทั้งมาเลเซียและสิงคโปร์ มีรายงานผู้ติดเชื้อโควิด นายน์ทีนสายพันธุ์ “โอไมครอน” แล้ว ที่มาเลเซียพบผู้ติดเชื้อกลายพันธุ์นี้แล้ว 1 ราย โดยนนายไครี่ จามาลุดดิน (Khairy Jamaluddin) รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของมาเลเซีย ออกมาแถลงว่า ผู้ติดเชื้อรายนี้เป็นนักศึกษาต่างชาติ ของมหาวิทยาลัยเอกชน ในเมืองอีโปห์ (Ipoh) รัฐแปรัก (Perak) ซึ่งเดินทางจากแอฟริกาใต้มาถึงมาเลเซีย เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

โดยได้ทำการตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR แล้วที่สนามบินในกรุงกัวลาลัมเปอร์ และทราบผลว่าติดเชื้อในวันถัดมา จึงเริ่มกักตัวทันที และเพิ่งได้รับการยืนยันเมื่อวานนี้ว่า เป็นเชื้อโอไมครอน ทั้งนี้ นักศึกษาคนนี้ เดินทางเข้ามาเลเซียโดยผ่านสิงคโปร์ โดยเธอได้ขึ้นรถบัสของมหาวิทยาลัยจากสนามบินไปยังเมืองอีโปห์ ขณะที่ผู้ใกล้ชิด 5 คนบนรถบัสมหาวิทยาลัย ก็ถูกกักตัวเช่นกัน แต่ทั้งหมดไม่ติดเชื้อโควิด

ขณะที่สิงคโปร์ กระทรวงสาธารณสุขออกมายืนยันพบผู้ติดเชื้อ “โอไมครอน” 2 ราย โดยเดินทางมาจากแอฟริกาใต้ ด้วยสายการบินสิงคโปร์ แอร์ไลน์ และเดินทางถึงสิงคโปร์เมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งทั้งสองคนเข้ารับการกักตัวทันทีที่เดินทางมาถึง ทำให้มั่นใจได้ว่า ผู้ติดเชื้อทั้งสองรายไม่มีปฏิสัมพันธ์กับชุมชนอย่างแน่นอน

ล่าสุด ขณะนี้ ผู้ป่วยทั้งสองคนมีอาการดีขึ้นแล้ว และทั้งสองได้รับการฉีดวัคซีนครบแล้ว 2 โดส ทำให้มีอาการป่วยไม่รุนแรง

ส่วนที่ออสเตรเลีย มีรายงานพบผู้ติดเชื้อ “โอไมครอน” ภายในชุมชนแล้ว 1 ราย โดยผู้ติดเชื้อรายใหม่นี้ เป็นนักเรียนจากโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในนครซิดนีย์ และไม่ได้เป็นผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ซึ่งทางการรัฐนิว เซาท์เวลส์ ระบุว่านี้เป็นสัญญาณว่าเชื้อกลายพันธุ์ได้แพร่ระบาดในชุมชนแล้ว จนถึงขณะนี้ ออสเตรเลีย พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ “โอไมครอน” แล้วอย่างน้อย 9 คน ในจำนวนนี้ 8 คน อยู่ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเป็นรัฐที่มีประชากรอาศัยอยู่มากที่สุด

ที่สหรัฐอเมริกา มีรายงานพบผู้ติดเชื้อโควิด นายน์ทีนสายพันธุ์ “โอไมครอน” แล้วใน 5 รัฐ ได้แก่ แคลิฟอร์เนีย, มินเนโซต้า, โคโลราโด, นิวยอร์ก, และฮาวาย โดยเฉพาะที่นิวยอร์ก มีผู้ติดเชื้ออย่างน้อย 5 คน ทำให้ขณะนี้ ยอดผู้ติดเชื้อโอไมครอนในสหรัฐอเมริกามีมากกว่า 10 คน

โดยนางเคธี่ โฮชูล (Kathy Hochul) ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ออกมาแถลงว่าในจำนวนผู้ติดเชื้อดังกล่าว มี 1 คน พบที่ลองไอแลนด์ (Long Island) เป็นหญิงวัย 67 ปีเพิ่งเดินทางกลับจากแอฟริกาใต้, 2 คนพบที่ย่านควีนส์ (Queens), 1 คน ที่ย่านบรุกลิน (Brooklyn) และอีก 1 คน ที่ย่านแมนฮัตตั้น (Manhattan) ด้านสาธารณสุขนครนิวยอร์ก กล่าวว่า กรณีการติดเชื้อในนิวยอร์กบ่งชี้ว่า โอไมครอนแพร่กระจายไปในชุมชน ไม่ใช่แค่ในกลุ่มนักเดินทาง แต่ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ก็ย้ำว่า การที่พบผู้ติดเชื้อที่นิวยอร์ก 5 คน ไม่ได้หมายความว่า นิวยอร์กจะต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ และอย่าเพิ่งตื่นตระหนก

“โอไมครอน” ทำให้แอฟริกาใต้เผชิญการระบาดระลอก 4 (for HEALTH-CORONAVIRUSSAFRICA MINISTER) ส่วนที่แอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นประเทศแรกที่ออกมารายงานการพบเชื้อ “โอไมครอน” ล่าสุด รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ออกมาเตือนว่า ขณะนี้แอฟริกาใต้กำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดระลอก 4 ซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อกลายพันธุ์นี้ ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

จึงเรียกร้องให้ประชาชนเร่งเข้ารับการฉีดวัคซีนโดยเร็วที่สุด ด้านนาง มิเชล กรูม (Michelle Groome) นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันโรคติดต่อแห่งชาติของแอฟริกาใต้ ระบุว่าขณะนี้แอฟริกาใต้ มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น “อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน” ภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ อันเนื่องมาจากเชื้อกลายพันธุ์ “โอไมครอน” พร้อมกับเตือนว่า การแพร่ระบาดได้ขยายไปยังกลุ่มคนที่มีอายุน้อยและผู้สูงอายุด้วย